gallerybottom

แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ตำนาน แสดงบทความทั้งหมด

อาถรรพณ์ ป่าคำชะโนด(Paranormal Forest of the Chanot)

เรื่อง อาถรรพณ์ ป่าคำชะโนด
(Paranormal Forest of the Chanot)


ที่แห่งนี้คือป่าศักดิ์สิทธิ์ ป่าลี้ลับ ป่าอาถรรพ์ … และคือป่าที่มีตำนาน ที่ชาวไทยในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และชาวลาวให้ความนับถือ เพราะเชื่อกันว่าเป็นที่ตั้งของเมืองนาคินทร์ และวังพญานาค ต้นตำนานแม่น้ำโขง เป็นป่าที่มีความน่าสนใจในแง่พฤกษศาสตร์ ที่โลกต้องทึ่ง!!! กับต้นคำชะโนดที่มีอายุนับหลายร้อยปี และมีอยู่ที่เดียว ณ ป่าคำชะโนด 
บนพื้นที่ราว 20 ไร่ ณ ต.วังทอง อ.บ้านดุง จ.อุดรธานี คือ ที่ตั้งของ ป่าคำชะโนด ที่ตั้งตามลักษณะภูมิประเทศ เนื่องจากบริเวณนั้นมีต้นชะโนด (อยู่ในตระกูลเดียวกับปาล์ม คล้ายๆ ต้นตาล ต้นหมาก หรือไม่ก็ต้นมะพร้าว แต่สูงกว่า) ขึ้นอยู่อย่างหนาแน่น มองไปทางไหนก็เห็นแต่ทิวชะโนดสูงเด่นเป็นสง่า ปี 2520 เป็นครั้งแรกที่ชาวบ้านได้ทำการสำรวจจำนวนต้นชะโนดในป่าแห่งนี้ มีอยู่ราว 2,000 กว่าต้น จนมาถึงปี 2544 ชาวบ้านสำรวจอีกครั้งพบว่าต้นชะโนดลดลงเหลือเพียง 1,865 ต้น ถึงกระนั้นที่นี่ยังคงความเย็นชื้นและให้บรรยากาศวังเวงเหมือนเดิม แต่ที่น่าแปลกใจคือ หากพ้นจากดงชะโนดแห่งนี้ไป ห่างกันแค่ไม่ถึง 300 เมตร ก็ไม่มีต้นชะโนดปรากฏให้เห็นแม้แต่ต้นเดียว นี่เองจึงทำให้ผืนดินราว 20 ไร่ ถูกตั้งฉายาให้เป็นป่าแห่งชะโนดขนานแท้  


"เคยมีคนคิดเอาต้นชะโนดไปปลูกที่อื่นนะ แต่ไม่นานก็ต้องเอากลับมาคืนที่เดิม เพราะชีวิตการงานไม่ก้าวหน้า ชีวิตครอบครัวมีแต่ความเดือดร้อน ขนาดว่าแค่เอาเมล็ด หรือส่วนใดส่วนหนึ่ง อาจจะเป็นใบแห้งๆ ออกจากป่า สุดท้ายต้องเอามาคืนกันหมด" ทองอินทร์ ปักเสติ ชาวบ้านโนนเมือง ซึ่งมีบ้านอยู่ใกล้ๆ กับป่าคำชะโนด กล่าว

อย่างไรก็ตามผืนป่าแห่งนี้กลายเป็นสถานที่เลื่องชื่อชั่วข้ามคืน เพราะเรื่องเล่า "ผีจ้างหนังที่คำชะโนด" (คนอีสานเรียก ผีบังบด หรือเมืองลับแล ไม่สามารถมองเห็นได้ทั่วไป นอกเสียจากว่าจะมีอะไรดลใจให้เห็น) …. โดยเมื่อปี พ.ศ.2532 ธงชัย แสงชัย เจ้าของบริษัทหนังเร่ดังกล่าว ได้เล่าว่า ตนเองถูกว่าจ้างจากใครคนหนึ่งให้ไปฉายหนังกลางแปลงที่งานวัด ที่หมู่บ้านวังทอง แถวป่าคำชะโนด ด้วยจำนวนเงิน 4,000 บาท แต่มีข้อแม้คือ ต้องฉายจบแค่ตี 4 ของวันใหม่ และให้ออกจากหมู่บ้านก่อนฟ้าสาง โดยห้ามหันหลังกลับมามอง... 
หลังจากที่วางเงินมัดจำเสร็จ เจ้าของหนังก็จัดแจงเตรียมของอุปกรณ์สัมภาระ ฟิล์มหนังที่จะนำไปฉาย ไปกับลูกน้องอีก 4 รวมเป็น 5 คน โดยขึ้นรถบรรทุก 6 ล้อมีหลังคา ออกจากตัวจังหวัดบ่ายแก่ ๆ ขับรถเข้าไปแถวป่าคำชะโนดก็เริ่มมืด ยิ่งขับไปทางเส้นทางตามที่ผู้ว่าจ้างบอกก็ไม่เห็นว่าจะเจอหมู่บ้านหรือคนที่จะมารับ จึงนึกว่าหลงกัน ระหว่างจอดรถว่าจะย้อนกลับไปดีหรือไม่ ก็มีผู้หญิง 2 คนใส่ชุดดำมาร้องเรียกว่าจะนำไปที่วัด คนขับที่เป็นเจ้าของหนังก็รับขึ้นรถ แต่แกก็สงสัยว่า 2 คนนี้โผล่มาจากไหนในที่มืดๆ อย่างนี้ พาหนะอะไรก็ไม่มี  



เมื่อขับเข้าไปในหมู่บ้านก็ยิ่งให้ชวนสงสัยใหญ่ว่า ทำไมไม่มีเสียงลำโพงออกมาจากงานวัด ไม่มีเสียง หมอลำ หรือการละเล่นอะไรเลย พอไปถึงหมู่บ้านก็มีคนมารับ แต่แปลกว่าทุกคนจะใส่เสื้อสีขาวกับดำ ถ้าเป็นผู้ชายใส่ชุดขาว ผู้หญิงใส่ชุดดำแยกให้เห็นชัดเจนแม้แต่เด็ก แต่ที่แปลกทุกคนจะทาหน้าขาวหมดเหมือนใช้ครีมพอกหน้า
 เมื่อถึงที่แล้วทุกคนก็เริ่มตั้งจอภาพยนตร์ เดินสายไฟ และเปิดเครื่องปั่นไฟ ระหว่างที่กำลังกุลีกุจอติดตั้งก็เริ่มเห็นผู้คนทยอยมานั่งดูหนัง แต่จะแยกชายหญิงชัดเจน ไม่นั่งรวมกัน และปกติของงานวัดจะต้องมีแม่ค้าแม่ขายมาขายน้ำ ขายถั่ว ขายปลาหมึกย่าง แต่ที่นี่กลับไม่มีแม่ค้าสักคน พอติดตั้งเสร็จก็เริ่มฉายหนัง หนังที่เอาไปฉายมี 4 เรื่อง เรื่องแรกเป็นหนังสงคราม เรื่องที่ 2 เป็นหนังตลกแอ็คชั่น เรื่องที่ 3 กับ 4 เป็นหนังผี ระหว่างฉายคนพากย์ก็พยายามพากย์ยิงมุกตลกๆ แต่ไม่มีใครหัวเราะหรือแสดงอารมณ์อย่างใดเลย ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ไปฉายที่ไหน คนก็จะหัวเราะตลอด 
จนเริ่มฉายเรื่องที่ 3 ที่เป็นหนังผี สังเกตท่าทางคนที่มาดูเริ่มตั้งใจดู ทั้งที่บรรยากาศตอนนั้นก็เที่ยงคืนดูน่ากลัวมากๆ ระหว่างนั้นทางเจ้าภาพก็จัดข้าวต้มถ้วยเล็กมาให้ทีมงานฉายหนังกินกัน ทางทีมงานเห็นแล้วก็ละเหี่ยใจ มีแต่ข้าวต้มซีดๆ กะเนื้อชิ้นเล็กๆ แต่เพื่อไม่ให้เป็นการเสียน้ำใจ ทางทีมงานก็เลยกินกัน ปรากฎว่าเป็นข้าวต้มที่อร่อยที่สุดที่เคยกินกันมา หลังจากฉายหนังจบถึงตี 2 ผู้คนก็แยกย้ายกันกลับ แป๊บเดียวก็สลายไปหมด ไม่มีใครเหลืออยู่เลย ทางทีมงานก็เก็บอุปกรณ์ขึ้นรถ โดยมีผู้หญิงสองคนนั่งรถออกมาส่ง ก่อนจะร่ำลาก็จ่ายค่าจ้างที่เหลือซึ่งเป็นเงินเหรียญทั้งหมด พอออกมาส่งถึงปากซอยผู้หญิงสองคนนั้นลงจากรถ พอรถออกตัวคนขับที่เป็นเจ้าของหนังกลางแปลงหันกลับมาดูก็ไม่เห็นผู้หญิง 2 คนนั้นแล้ว
หลังจากกลับมาถึงบริษัท ธงชัย ก็เกิดความสงสัย จึงเช็คประวัติกับผู้ว่าจ้างที่ถ่ายเอกสารให้ตอนวางมัดจำ ก็พบตัวว่ามีชื่อนี้จริง แต่เจ้าตัวบอกว่าไม่เคยไปว่าจ้างใครไปฉายหนังตามวันและเวลาที่บอก เมื่อสงสัยจัดก็เลยสอบถามไปยังเจ้าอาวาสวัดที่เอาหนังไปฉาย ทางเจ้าอาวาสก็บอกว่าในวันนั้นที่วัดไม่ได้มีการจัดงานแต่อย่างใด แต่เจ้าอาวาสเล่าว่า ในคืนวันที่เจ้าของหนังมาบอกว่ามีการฉายหนัง ที่ป่าคำชะโนดจะมีเสียงซู่ๆ เหมือนกับมีพายุพัดเข้ามา ทั้งๆ ที่คืนนั้นไม่มีลมใหญ่พัดมาจากไหนเลย...?


ขณะที่ ทองอินทร์ ปักเสติ ชาวบ้านโนนเมือง ซึ่งมีบ้านอยู่ใกล้ๆ กับป่าคำชะโนด ได้ย้อนถึงเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นในป่าคำชะโนดอีกหนึ่งเรื่องเล่าของป่าแห่งนี้ ซึ่งคนภายนอกฟังดูอาจคิดว่าเป็นเรื่องอุปโลกน์ขึ้นมาเพื่อหลอกให้คนกลัวกันเล่นๆ สำหรับชาวบ้านที่อยู่มานานนมกลับเชื่อสนิทใจ ไม่ใช่นิทานปรัมปรา หรือนิยายประโลมโลก แต่นั่นคือแรงศรัทธาที่ชาวบ้านมีต่อป่าอันลี้ลับและเต็มไปด้วยเรื่องเล่ามากมาย
เดิมทีคนท้องถิ่นจะเรียกที่นี่ว่า "วังนาคินทร์คำชะโนด" ที่มาก็คือมีบ่อน้ำอยู่กลางดงชะโนด เป็นบ่อน้ำขนาดเล็กๆ แต่กลับมีน้ำซึมออกมาตามธรรมชาติตลอดเวลา ทำให้ชาวบ้านเชื่อกันว่าบ่อน้ำประทานมาให้โดยพญานาคที่อาศัยอยู่ในบริเวณผืนป่า สำหรับบ่อน้ำในป่าคำชะโนด ว่ากันว่าเป็นบ่อน้ำที่ความศักดิ์สิทธิ์อย่างมาก ชาวบ้านเชื่อกันอย่างนั้น มีหลายคนเคยลองอธิษฐานตรงหน้าบ่อน้ำก็ได้ตามประสงค์ บางคนเจ็บป่วยไปดื่มหรืออาบโรคร้ายก็หายเป็นปลิดทิ้ง สร้างความอัศจรรย์ใจยิ่งนัก แต่นั่นไม่ใช่ทุกคน อยู่ที่ความเชื่อมีมากน้อยแค่ไหน หลายคนไม่เชื่อแถมยังลบหลู่ ตักน้ำจากบ่อแล้วนำมาล้างเท้าแทนที่จะหายป่วยไข้กลับทุกข์ทรมานซ้ำหนักกว่าเดิม
เช่นเดียวกับใครที่อยากจะเข้าไปสัมผัสป่าลี้ลับคำชะโนดก็ต้องสำรวมและปฏิบัติตามข้อห้ามอื่นๆ เป็นต้นว่า ห้ามใส่รองเท้าทั่วทั้งบริเวณป่า หมวก แว่นตา ร่ม เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ บุหรี่ ห้ามเด็ดขาด เพราะสิ่งเหล่านี้คือการดูถูกดูหมิ่นต่อผู้ปกปักรักษาผืนดิน
"แต่ก่อนห้ามใส่เสื้อสีแดงด้วย ไม่ได้เลยนะ ใครใส่เข้ามานี่เป็นเรื่อง อยู่ไม่ได้นานหรอก ต้องรีบออกไป ไม่รู้เพราะอะไร เหมือนท่านไม่ชอบ แต่พอหลวงปู่ (หลวงตาคำ สิริสุทโธ เจ้าอาวาสวัดศรีสุทโธ วัดละแวกป่าคำชะโนด) ได้ทำพิธีขอยกเว้นตอนหลังก็ใส่ได้" ทองหล่อ ตลิ่งชัน กำนันตำบลวังทอง กล่าว

ความเชื่อเรื่องพญานาคของคนที่นี่นั้นอาจไม่แตกต่างจากชาวหนองคายที่เชื่อว่าพญานาคมีจริง บั้งไฟพญานาคเกิดจากอิทธิฤทธิ์ของเจ้าแห่งเมืองบาดาล ไม่ใช่ฝีมือของมนุษย์ธรรมดาเหมือนเมื่อครั้งถูกนำเสนอผ่านหนัง รวมถึงสื่อทีวีบางช่องเมื่อหลายปีก่อนโน้น ชาวบ้านละแวกป่าคำชะโนดก็คล้ายกัน พวกเขาสร้างทางเดินที่เชื่อมจากโลกภายนอกกับผืนป่าอันศักดิ์สิทธิ์เข้าไว้ด้วยรูปปั้นพญานาค 2 ตัว 7 เศียร นอนเลื้อยยาวไปจนสุดทางเดินราว 300 เมตร เพื่อสะท้อนถึงพลังอำนาจและบารมีของพญานาคราช 
กระทั่งในวันออกพรรษา ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 ชาวบ้านก็มีความเชื่อว่าเป็นวันที่พญานาคจะขึ้นมาหายใจ ดวงไฟสีแดงที่ผุดกลางบ่อน้ำแล้วลอยขึ้นท้องฟ้า (คล้ายๆ กับบั้งไฟพญานาคผุดกลางลำน้ำโขงที่ จ.หนองคาย) นั่นละคือ ลมหายใจพญานาค โดยชาวบ้านเชื่อว่าใครเห็นจะเป็นบุญของชีวิตเลยทีเดียว

ป่าคำชะโนด... ยังมีเรื่องเล่าอีกนับไม่ถ้วน ทั้งที่สร้างความรู้สึกชวนขนหัวลุก และตื่นเต้นเสียวสันหลัง เชื่อหรือไม่เชื่อนั้นแล้วแต่วิจารณญาณส่วนบุคคล หรือคุณจะลองไปพิสูจน์...?


ที่มา>>>http://hilight.kapook.com/view/17125

บทความและภาพ ในบล็อกนี้บางบทบางภาพอาจนำมาจากเว็บไซต์อื่นที่ที่ทางเราคิดว่ามีประโชยน์ต่อผู้อ่าน โดยให้ผู้อ่านเกิดควมบันเทิง และให้ความรู้ หากไฟล์ภาพหรือบทความใด ที่เจ้าของลิขสิทธิ์ไม่ต้องการให้นำมาแสดง โปรดแจ้งมาที่ tumnan28@Gmail.com ทางเราจะได้นำบทความนั้นนั้นออก ขอบคุณครับ

ผีจ้างหนัง

ผีจ้างหนังที่คำชะโนด

เรื่อง ผีจ้างหนัง


"ผีจ้างหนังที่คำชะโนด" (คนอีสานเรียก ผีบังบด หรือเมืองลับแล ไม่สามารถมองเห็นได้ทั่วไป นอกเสียจากว่าจะมีอะไรดลใจให้เห็น) …. โดยเมื่อปี พ.ศ.2532 ธงชัย แสงชัย เจ้าของบริษัทหนังเร่ดังกล่าว ได้เล่าว่า ตนเองถูกว่าจ้างจากใครคนหนึ่งให้ไปฉายหนังกลางแปลงที่งานวัด ที่หมู่บ้านวังทอง แถวป่าคำชะโนด ด้วยจำนวนเงิน 4,000 บาท แต่มีข้อแม้คือ ต้องฉายจบแค่ตี 4 ของวันใหม่ และให้ออกจากหมู่บ้านก่อนฟ้าสาง โดยห้ามหันหลังกลับมามอง... 


หลังจากที่วางเงินมัดจำเสร็จ เจ้าของหนังก็จัดแจงเตรียมของอุปกรณ์สัมภาระ ฟิล์มหนังที่จะนำไปฉาย ไปกับลูกน้องอีก 4 รวมเป็น 5 คน โดยขึ้นรถบรรทุก 6 ล้อมีหลังคา ออกจากตัวจังหวัดบ่ายแก่ ๆ ขับรถเข้าไปแถวป่าคำชะโนดก็เริ่มมืด ยิ่งขับไปทางเส้นทางตามที่ผู้ว่าจ้างบอกก็ไม่เห็นว่าจะเจอหมู่บ้านหรือคนที่จะมารับ จึงนึกว่าหลงกัน ระหว่างจอดรถว่าจะย้อนกลับไปดีหรือไม่ ก็มีผู้หญิง 2 คนใส่ชุดดำมาร้องเรียกว่าจะนำไปที่วัด คนขับที่เป็นเจ้าของหนังก็รับขึ้นรถ แต่แกก็สงสัยว่า 2 คนนี้โผล่มาจากไหนในที่มืดๆ อย่างนี้ พาหนะอะไรก็ไม่มี 


เมื่อขับเข้าไปในหมู่บ้านก็ยิ่งให้ชวนสงสัยใหญ่ว่า ทำไมไม่มีเสียงลำโพงออกมาจากงานวัด ไม่มีเสียง หมอลำ หรือการละเล่นอะไรเลย พอไปถึงหมู่บ้านก็มีคนมารับ แต่แปลกว่าทุกคนจะใส่เสื้อสีขาวกับดำ ถ้าเป็นผู้ชายใส่ชุดขาว ผู้หญิงใส่ชุดดำแยกให้เห็นชัดเจนแม้แต่เด็ก แต่ที่แปลกทุกคนจะทาหน้าขาวหมดเหมือนใช้ครีมพอกหน้า
เมื่อถึงที่แล้วทุกคนก็เริ่มตั้งจอภาพยนตร์ เดินสายไฟ และเปิดเครื่องปั่นไฟ ระหว่างที่กำลังกุลีกุจอติดตั้งก็เริ่มเห็นผู้คนทยอยมานั่งดูหนัง แต่จะแยกชายหญิงชัดเจน ไม่นั่งรวมกัน และปกติของงานวัดจะต้องมีแม่ค้าแม่ขายมาขายน้ำ ขายถั่ว ขายปลาหมึกย่าง แต่ที่นี่กลับไม่มีแม่ค้าสักคน พอติดตั้งเสร็จก็เริ่มฉายหนัง หนังที่เอาไปฉายมี 4 เรื่อง เรื่องแรกเป็นหนังสงคราม เรื่องที่ 2 เป็นหนังตลกแอ็คชั่น เรื่องที่ 3 กับ 4 เป็นหนังผี ระหว่างฉายคนพากย์ก็พยายามพากย์ยิงมุกตลกๆ แต่ไม่มีใครหัวเราะหรือแสดงอารมณ์อย่างใดเลย ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ไปฉายที่ไหน คนก็จะหัวเราะตลอด



จนเริ่มฉายเรื่องที่ 3 ที่เป็นหนังผี สังเกตท่าทางคนที่มาดูเริ่มตั้งใจดู ทั้งที่บรรยากาศตอนนั้นก็เที่ยงคืนดูน่ากลัวมากๆ ระหว่างนั้นทางเจ้าภาพก็จัดข้าวต้มถ้วยเล็กมาให้ทีมงานฉายหนังกินกัน ทางทีมงานเห็นแล้วก็ละเหี่ยใจ มีแต่ข้าวต้มซีดๆ กะเนื้อชิ้นเล็กๆ แต่เพื่อไม่ให้เป็นการเสียน้ำใจ ทางทีมงานก็เลยกินกัน ปรากฎว่าเป็นข้าวต้มที่อร่อยที่สุดที่เคยกินกันมา หลังจากฉายหนังจบถึงตี 2 ผู้คนก็แยกย้ายกันกลับ แป๊บเดียวก็สลายไปหมด ไม่มีใครเหลืออยู่เลย ทางทีมงานก็เก็บอุปกรณ์ขึ้นรถ โดยมีผู้หญิงสองคนนั่งรถออกมาส่ง ก่อนจะร่ำลาก็จ่ายค่าจ้างที่เหลือซึ่งเป็นเงินเหรียญทั้งหมด พอออกมาส่งถึงปากซอยผู้หญิงสองคนนั้นลงจากรถ พอรถออกตัวคนขับที่เป็นเจ้าของหนังกลางแปลงหันกลับมาดูก็ไม่เห็นผู้หญิง 2 คนนั้นแล้ว 


หลังจากกลับมาถึงบริษัท ธงชัย ก็เกิดความสงสัย จึงเช็คประวัติกับผู้ว่าจ้างที่ถ่ายเอกสารให้ตอนวางมัดจำ ก็พบตัวว่ามีชื่อนี้จริง แต่เจ้าตัวบอกว่าไม่เคยไปว่าจ้างใครไปฉายหนังตามวันและเวลาที่บอก เมื่อสงสัยจัดก็เลยสอบถามไปยังเจ้าอาวาสวัดที่เอาหนังไปฉาย ทางเจ้าอาวาสก็บอกว่าในวันนั้นที่วัดไม่ได้มีการจัดงานแต่อย่างใด แต่เจ้าอาวาสเล่าว่า ในคืนวันที่เจ้าของหนังมาบอกว่ามีการฉายหนัง ที่ป่าคำชะโนดจะมีเสียงซู่ๆ เหมือนกับมีพายุพัดเข้ามา ทั้งๆ ที่คืนนั้นไม่มีลมใหญ่พัดมาจากไหนเลย...

ที่มา>>> http://guru.google.co.th/guru/thread?tid=6623fe66247606d5




บทความและภาพ ในบล็อกนี้บางบทบางภาพอาจนำมาจากเว็บไซต์อื่นที่ที่ทางเราคิดว่ามีประโชยน์ต่อผู้อ่าน โดยให้ผู้อ่านเกิดควมบันเทิง และให้ความรู้ หากไฟล์ภาพหรือบทความใด ที่เจ้าของลิขสิทธิ์ไม่ต้องการให้นำมาแสดง โปรดแจ้งมาที่ tumnan28@Gmail.com ทางเราจะได้นำบทความนั้นนั้นออก ขอบคุณครับ

ตำนานนางเลือดขาว


ตำนานนางเลือดขาวที่พบในภาคใต้



ตำนานนางเลือดขาวนั้นแต่เดิมปรากฏอยู่ในรูปของตำนานมุขปาฐะที่เล่าสืบทอดต่อๆกันมา จนต่อมาได้มีผู้รู้ในท้องถิ่นได้คิดรวบรวมจารลงบนกระดาษเพลา แต่อย่างไรก็ตามเนื่องจากตำนานนางเลือดขาวได้แพร่กระจายไปอย่างกว้างขวางในท้องถิ่นภาคใต้ตลอดแหลมมลายูในรูปคำบอกเล่าที่แตกต่างและเหมือนกันในบางท้องถิ่น ทั้งในจังหวัดพัทลุง ชุมพร นครศรีธรรมราช ตรัง สงขลา ภูเก็ต ซึ่งผู้คนได้เล่าสืบทอดกันมายาวนานจนกลายเป็นตำนานประจำท้องถิ่น ซึ่งตำนานนางเลือดขาวที่แพร่หลายในจังหวัดพัทลุงและจังหวัดอื่น ๆ ในภาคใต้นั้น มีปรากฏที่มาจากสองทางด้วยกัน คือ

1.ตำนานนางเลือดขาวตามที่ปรากฏในพงศาวดารเมืองพัทลุง
ตำนานนางเลือดขามตามที่ได้ปรากฏในพงศาวดารเมืองพัทลุง ซึ่งหลวงศรีวรวัตร (พิณ จันทโรจวงศ์)เป็นผู้เรียบเรียงขึ้นเมื่อประมาณปี พ.ศ.๒๔๖๐ - ๒๔๖๑ นั้นสรุปความได้ว่า เมืองพัทลุงได้ตั้งมาก่อนปี พ.ศ.๑๔๘๐ เมืองตั้งอยู่ที่สทิงพระ เจ้าเมืองชื่อพระยากรงทอง ครั้งนั้นตาสามโมกับยายเพชร สองสามีภรรยา ตั้งบ้านเรือนอยู่ที่ตำบลปละท่า ทางฝั่งตะวันตกของทะเลสาบสงขลาคือ บริเวณบ้านพระเกิด อำเภอปากพะยูน เป็นหมอสดำ (หมอเฒ่าหรือนายกองช้าง) มีหน้าที่เลี้ยงช้างส่งพระยากรงทองทุกปี ต่อมาสองตายายได้พบกุมารจากป่าไม้ไผ่เสรียง มีพรรณเลือดเขียว ขาว เหลือง ดำ แดง และได้พบกุมารีจากไม้ไผ่มีพรรณเลือดขาว จึงได้ชื่อว่านางเลือดขาว ต่อมาทั้งสองคนได้แต่งงานกัน และรับมรดกเป็นนายกองช้าง ต่อมาจนมีกำลังขึ้นและมีผู้คนนับถือมาก ได้เรียกตำบลบ้านนั้นว่า พระเกิด ต่อมาทั้งสองคนได้พาสมัครพวกพวก เดินทางไปทางทิศอีสาน บ้านพระเกิดไปถึงบางแก้ว เห็นเป็นชัยภูมิดีก็ตั้งพักอยู่แต่นั้นมาก็เรียกกุมารนั้นว่า พระยา มีอำนาจทรัพย์สมบัติและบริวารมากขึ้น ทั้งสองคนเป็นผู้ที่เลื่อมใสในพระพุทธศาสนามาก จึงได้สร้างพระพุทธรูป และอุโบสถขึ้นไว้ที่วัดสทิง อำเภอเขาชัยสน สร้างถาวรวัตถุไว้ที่วัดเขียนบางแก้ว คือวิหารและพระพุทธรูป พร้อมทั้งทำจารึกไว้ในแผ่นทองคำด้วย
ตั้งแต่ พ.ศ.๑๕๐๐ พระยากุมารกับนางเลือดขาว ก็พำนักอยู่ที่บางแก้ว ซึ่งต่อมาเรียกที่นั้นว่า ที่วัด มีเขตถึงบ้านดอนจิงจาย ต่อมาทั้งสองคนได้ไปเมืองนครศรีธรรมราช และสร้างพระพุทธรูปไว้หลายตำบล นับแต่นั้นมาเกียรติคุณนางเลือดขาวก็รำลือไปถึงกรุงสุโขทัย พระเจ้ากรุงสุโขทัย โปรดให้พระยาพิษณุโลกกับนางทองจันทร์ พร้อมนางสนมออกมารับนางเลือดขาวที่เมืองนครศรีธรรมราช เพื่อเชิญไปเป็นมเหสี ส่วนพระยากุมารก็กลับไปอยู่ที่บ้านพระเกิดตามเดิม
พระเจ้ากรุงสุโขทัย เมื่อทรงทราบว่านางมีสามี และมีครรภ์ติดมา จึงไม่ยกขึ้นเป็นมเหสี ครั้นนางคลอดบุตรเป็นกุมาร ก็ทรงขอบุตรไว้ชุบเลี้ยง ต่อมานางเลือดขาวทูลลากลับบ้านเดิม จึงโปรดให้จัดส่งถึงบ้านพระเกิด อยู่กินกับพระยากุมารตามเดิมจนถึงแก่กรรมทั้งสองคน ภายหลังบุตรนางเลือดขาวได้กลับมาเป็นคหบดี อยู่ที่บ้านพระเกิด เมืองพัทลุง ชาวเมืองเรียกว่า เจ้าฟ้าคอลาย
2.ตำนานนางเลือดขาวที่เป็นคำบอกเล่าของชาวบ้าน
สำหรับตำนานนางเลือดขาวที่เป็นคำบอกเล่าของชาวบ้าน ในตอนต้นกล่าวถึงสงครามในอินเดียสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช ทำให้ชาวอินเดียอพยพหนีภัย มาขึ้นฝั่งทางด้านตะวันตกของแหลมมลายู บริเวณเมืองท่าปะเหลียน จังหวัดตรัง แล้วข้ามแหลมมายังอำเภอตะโหนด และอำเภอปากพะยูน ขณะนั้นตาสามโมกับยายเพชรสองผัวเมีย ชาวบ้านพระเกิด เป็นนายกองช้าง ไม่มีบุตร จึงเดินทางไปขอบุตรีชาวอินเดียที่ถ้ำไม้ไผ่ตง บ้านตะโหมด นำมาเลี้ยงไว้ชื่อว่านางเลือดขาว เพราะเป็นคนผิวขาวกว่าชาวพื้นเมือง ต่อมาได้เดินทางไปขอบุตรชายชาวอินเดียที่ถ้ำไม้ไผ่เสรี่ยง ให้ชื่อว่ากุมารหรือเจ้าหน่อ เมื่อทั้งสองเจริญวัย ตายายจึงให้แต่งงานกัน แล้วอพยพไปตั้งบ้านที่บางแก้ว เมื่อตายายถึงแก่กรรม ทั้งสองก็ได้นำอัฐิไปไว้ที่ถ้ำคูหาสวรรค์ หลังจากนั้นทั้งสองได้สละทรัพย์ สร้างโบสถ์ วิหาร ในวัดเขียนบางแก้วและวัดสทิง เมื่อเดินทางถึงที่ใดก็สร้างวัดที่นั่น เช่น เดินทางไปลังกากับคณะทูตเมืองนครศรีธรรมราช ก็ได้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุมาบรรจุไว้ที่วัดเขียนบางแก้ว สร้างวัดพระพุทธสิหิงค์ วัดพระงาม วัดถ้ำพระพุทธที่เมืองตรัง สร้างวัดแม่อยู่หัวที่อำเภอเชียรใหญ่ นครศรีธรรมราช สร้างวัดเจ้าแม่ (ชะแม) วัดเจดีย์งาม วัดท่าคุระ ปัจจุบันคือ วัดเจ้าแม่ อยู่ตำบลคลองรี อำเภอสทิงพระ จังหวัดสงขลา เป็นต้น
เมื่อข่าวความงามของนางเลือดขาวทราบไปถึงกษัตริย์กรุงสุโขทัยจึงโปรดให้พระยาพิษณุโลกมารับนางเลือดขาว เพื่อชุบเลี้ยงเป็นมเหสี แต่นางมีครรภ์แล้ว จึงไม่ได้ยกเป็นมเหสี เมื่อนางคลอดบุตรแล้ว ทรงขอบุตรไว้ แล้วให้พระยาพิษณุโลก นำนางเลือดขาวกลับไปส่งถึงเมืองพัทลุง ตั้งแต่นั้นมาคนทั่วไปก็เรียกนางว่า เจ้าแม่อยู่หัวเลือดขาว หรือนางพระยาเลือดขาว หรือพระนางเลือดขาว นางได้อยู่กินกับพระกุมารจนอายุได้ ๗๐ ปี ทั้งสองก็ถึงแก่กรรม เจ้าฟ้าคอลายผู้เป็นบุตร ได้นำศพไปประกอบพิธี ฌาปนกิจที่บ้านพระเกิด เส้นทางที่นำศพไปจากบ้านบางแก้วถึงบ้านพระเกิด เรียกว่า ถนนนางเลือดขาว




ที่มา>>>http://www.gotoknow.org/posts/390083

บทความและภาพ ในบล็อกนี้บางบทบางภาพอาจนำมาจากเว็บไซต์อื่นที่ที่ทางเราคิดว่ามีประโชยน์ต่อผู้อ่าน โดยให้ผู้อ่านเกิดควมบันเทิง และให้ความรู้ หากไฟล์ภาพหรือบทความใด ที่เจ้าของลิขสิทธิ์ไม่ต้องการให้นำมาแสดง โปรดแจ้งมาที่ tumnan28@Gmail.com ทางเราจะได้นำบทความนั้นนั้นออก ขอบคุณครับ


มวยไทย

ประวัติมวยไทย


มวยไทยกับคนไทย
      จากการจำแนกเผ่าพันธุ์ของมนุษย์ คนไทยมีเชื้อชาติอยู่ในกลุ่มมองโกเลีย ลักษณะร่างกายโดยทั่วไปตัวเล็กกว่าคนที่อาศัยอยู่ในเขตหนาว ความสูงโดยเฉลี่ย 5 ฟุต 3 นิ้ว ร่างกายล่ำสัน สมส่วน ทะมัดทะแมง น้ำหนักตัวน้อย มีความคล่องตัวและยืดหยุ่นสูง มือมีเนื้อนุ่มนิ่ม ผิวสีน้าตาลอ่อน ผมดกดำ ขนตามตัวมีน้อย เคราไม่ดกหนา รูปศีรษะเป็นสัดส่วนดี ลูกตาสีดำตาขาวมีสีเหลืองเล็กน้อย กระพุ้งแก้มอวบอูม ใบหน้ากลม เนื่องจากลักษณะภูมิประเทศเป็นเมืองร้อนใกล้เส้นศูนย์สูตรประชาชนส่วนใหญ่อาศัยอยู่ริมฝั่งแม่น้ำ ใช้เรือเป็นพาหนะ จึงทำให้คนไทยสวมเสื้อผ้าน้อยชิ้น ไม่สวมหมวกและรองเท้า สามารถใช้อวัยวะหมัด เท้า เข่า ศอก ได้อย่างคล่องแคล่วว่องไว จึงนำไปผสมผสานกับการใช้อาวุธมีด ดาบ หอก เพื่อป้องกันตนเองและป้องกันประเทศ
....มวยไทยนั้นมีมาพร้อมกับคนไทย เป็นมรดกทางวัฒนธรรมของชาติไทยมาช้านาน ในสมัยโบราณประเทศไทยมีอาณาเขตติดต่อกับประเทศเพื่อนบ้านหลายประเทศ จึงมีการสู้รบกันอยู่เสมอๆ ดังนั้นชายไทยจึงนิยมฝึกมวยไทยควบคู่กับการฝึกอาวุธ ต่อมาได้วิวัฒนาการจนกลายเป็นศิลปะการต่อสู้ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวมากขึ้น มีลีลาการเคลื่อนไหวที่สวยงามแฝงไว้ด้วยความแข็งแกร่งดุดัน สามารถฝึกเพื่อป้องกันตนเอง เพื่อความแข็งแรงของร่างกาย และเพื่อเป็นอาชีพได้เป็นอย่างดีอีกด้วย
2. มวยไทยในสมัยกรุงสุโขทัย
....สมัยกรุงสุโขทัยเริ่มประมาณ พ.ศ.1781 - 1951 รวมระยะเวลา 140 ปี หลักฐานจากศิลาจารึกกล่าวไว้ชัดเจนว่า กรุงสุโขทัยทำสงครามกับประเทศอื่นรอบด้าน จึงมีการฝึกทหารให้มีความรู้ความชำนาญในรบด้วยอาวุธ ดาบ หอก โล่ห์ รวมไปถึงการใช้อวัยวะของร่างกายเข้าช่วยในการรบระยะประชิดตัวด้วย เช่น ถีบ เตะ เข่า ศอก เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรบ
....หลังเสร็จสงครามแล้ว ชายหนุ่มในสมัยกรุงสุโขทัยมักจะฝึกมวยไทยกันทุกคนเพื่อเสริมลักษณะชายชาตรี เพื่อศิลปะป้องกันตัว เพื่อเตรียมเข้ารับราชการทหารและถือเป็นประเพณีอันดีงาม ในสมัยนั้นจะฝึกมวยไทยตามสำนักที่มีชื่อเสียง เช่น สำนักสมอคอน แขวงเมืองลพบุรี นอกจากนี้ยังมีการฝึกมวยไทยตามลานวัดโดยพระภิกษุอีกด้วย วิธีฝึกหัดมวยไทยในสมัยกรุงสุโขทัย ครูมวยจะใช้กลอุบายให้ศิษย์ ตักน้ำ ตำข้าว ผ่าฟืน ว่ายน้ำ ห้อยโหนเถาวัลย์ เพื่อให้ร่างกายแข็งแรงและอดทนก่อนจึงเริ่มฝึกทักษะ โดยการผูกผ้าขาวม้าเป็นปมใหญ่ๆไว้กับกิ่งไม้ แล้วชกให้ถูกด้วยหมัด เท้า เข่า ศอก นอกจากนี้ยังมีการฝึกเตะกับต้นกล้วย ชกกับคู่ซ้อม ปล้ำกับคู่ซ้อม จบลงด้วยการว่ายน้ำเพื่อทำความสะอาดร่างกายและผ่อนคลายกล้ามเนื้อก่อนนอน ครูมวยจะอบรมศีลธรรมจรรยา ทบทวนทักษะมวยไทยท่าต่างๆ จากการฝึกในวันนั้นผนวกกับทักษะท่าต่างๆ ที่ฝึกก่อนหน้านี้แล้ว
....สมัยกรุงสุโขทัยมวยไทยถือว่าเป็นศาสตร์ชั้นสูงถูกบรรจุไว้ในหลักสูตรการศึกษาของกษัตริย์ เพื่อฝึกให้เป็นนักรบที่มีความกล้าหาญ มีสมรรถภาพร่างกายดีเยี่ยม เป็นกษัตริย์ที่เก่งกล้าสามารถในการปกครองประเทศต่อไป ดังความปรากฏตามพงศาวดารว่า พ่อขุนศรีอินทราทิตย์กษัตริย์กรุงสุโขทัยพระองค์แรกทรงเห็นการณ์ไกลส่งเจ้าชายร่วงองค์ที่ 2 อายุ 13 พรรษา ไปฝึกมวยไทยที่ สำนักสมอคอน แขวงเมืองลพบุรี เพื่อฝึกให้เป็นกษัตริย์ที่เก่งกล้าในอนาคต และในปี พ.ศ. 1818 - 1860 พ่อขุนรามคำแหงได้เขียนตำหรับพิชัยสงคราม ข้อความบางตอนกล่าวถึงมวยไทยด้วย นอกจากนี้พระเจ้าลิไท เมื่อครั้งยังทรงพระเยาว์ทรงได้รับการศึกษาจากสำนักราชบัณฑิตในพระราชวังมีความรู้แตกฉานจนได้รับยกย่องว่าเป็นปราชญ์ ซึ่งสำนักราชบัณฑิตมิได้สอนวิชาการเพียงอย่างเดียว พระองค์ต้องฝึกภาคปฏิบัติควบคู่กันไปด้วย โดยเฉพาะการต่อสู้ป้องกันตัวด้วยมือเปล่าแบบมวยไทย และการใช้อาวุธ คือ ดาบ หอก มีด โล่ห์ธนู เป็นต้น


มวยไทยในสมัยกรุงศรีอยุธยา
    สมัยกรุงศรีอยุธยาเริ่มประมาณ พ.ศ.1988 - 2310 ระยะเวลา 417 ปี บางสมัยก็มีศึกกับประเทศใกล้เคียง เช่น พม่า และเขมร ดังนั้นชายหนุ่มสมัยกรุงศรีอยุธยาจึงต้องฝึกฝนความชำนาญในกานต่อสู้ด้วยอาวุธและศิลปะป้องกันตัวด้วยมือเปล่า โดยมีครูผู้เชี่ยวชาญทางการต่อสู้เป็นผู้สอน การฝึกเริ่มจากในวังไปสู่ประชาชน สำนักดาบพุทธไทสวรรค์เป็นสำนักดาบที่มีชื่อเสียงสมัยอยุธยา มีผู้นิยมไปเรียนมาก ซึ่งในการฝึกจะใช้อาวุธจำลอง คือดาบหวายเรียกว่า กระบี่กระบอง นอกจากนี้ยังต้องฝึกการต่อสู้ป้องกันตัวด้วยมือเปล่า เรียกว่า มวยไทย ควบคู่กันไปด้วย ในสมัยนี้วัดยังคงเป็นสถานที่ให้ความรู้ทั้งวิชาสามัญและวิชาปฏิบัติในเชิงอาวุธควบคู่กับมวยไทยอีกด้วย
• สมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช (พ.ศ.2133 - 2147)
    พระองค์ทรงเลือกคนหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกับพระองค์มาทรงฝึกหัดด้วยพระองค์เอง โดยฝึกให้มีความกล้าหาญ มีความเชื่อมั่นตนเอง ใช้อาวุธได้ทุกชนิดอย่างชำนาญ มีความสามารถในศิลปะการต่อสู้มวยไทยดีเยี่ยม และพระองค์ทรงตั้ง กองเสือป่าแมวมอง เป็นหน่วยรบแบบกองโจร ซึ่งทหารกองนี้เองมีบทบาทมากในการกอบกู้เอกราชจากพม่าในปี พ.ศ.2127

• สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช (พ.ศ.2147 - 2233)
      สภาพบ้านเมืองสงบร่มเย็น มีความเจริญรุ่งเรืองมาก พระองค์ทรงให้การส่งเสริมและสนับสนุนกีฬาอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะมวยไทยนั้นนิยมกันมากจนกลายเป็นกีฬาอาชีพ มีค่ายมวยเกิดขึ้นมากมาย มวยไทยสมัยนี้ชกกันบนลานดิน โดยใช้เชือกเส้นเดียวกั้นบริเวณเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัส นักมวยจะใช้ด้ายดิบชุบแป้งหรือน้ำมันดินจนแข็งพันมือ เรียกว่า คาดเชือก หรือ มวยคาดเชือก นิยมสวมมงคลไว้ที่ศีรษะ และผูกประเจียดไว้ที่ต้นแขนตลอดการแข่งขัน การเปรียบคู่ชกด้วยความสมัครใจทั้งสองฝ่าย ไม่คำนึงถึงขนาดร่างกายลาอายุ กติกาการชกง่ายๆ คือ ชกจนกว่าฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดจะยอมแพ้ ในงานเทศกาลต่างๆ ต้องมีการจัดแข่งขันมวยไทยด้วยเสมอ มีการพนันกันระหว่างนักมวยที่เก่งจากหมู่บ้านหนึ่งกับนักมวยที่เก่งจากอีกหมู่บ้านหนึ่ง

• สมัยสมเด็จพระเจ้าเสือ (พ.ศ.2240 - 2252)
     สมัยพระเจ้าเสือ หรือขุนหลวงสุรศักดิ์ พระองค์ทรงโปรดการชกมวยไทยมาก ครั้งหนึ่งพระองค์ได้เสด็จไปที่ตำบลหาดกรวด พร้อมด้วยมหาดเล็กอีก 4 คน แต่งกายแบบชาวบ้านไปเที่ยวงานแล้วเข้าร่วมการเปรียบคู่ชก นายสนามรู้เพียงว่าพระองค์เป็นนักมวยจากเมืองกรุงจึงจัดให้ชกกับนักมวยฝีมือดีจากสำนักมวยเมืองวิเศษไชยชาญ ซึ่งได้แก่ นายกลาง หมัดตาย นายใหญ่ หมัดเล็ก และนายเล็ก หมัดหนัก ซึ่งพระองค์ชกชนะทั้งสามคนรวด นกจากนี้พระองค์ทรงฝึกฝนให้เจ้าฟ้าเพชรและเจ้าฟ้าพร พระราชโอรสให้มีความสามารถในด้านมวยไทย กระบี่กระบองและมวยปล้ำอีกด้วย
ในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้น ....พระมหากษัตริย์ทรงโปรดให้มีกรมมวยหลวงขึ้นโดยให้คัดเลือกเอาชายฉกรรจ์ที่มีฝีมือในการชกมวยไทยเข้าต่อสู้กันหน้าพระที่นั่ง แล้วคัดเลือกผู้มีฝีมือเลิศไว้เป็นทหารสนิท และทหารรักษาพระองค์ เรียกว่า "ทหารเลือก" สังกัดกรมมวยหลวง มีหน้าที่รักษาความปลอดภัย ภายในพระราชวังหรือตามเสด็จในงานต่างๆ ทั้งยังเป็นครูฝึกมวยไทยให้ทหารและพระราชโอรสอีกด้วย



สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย
หลังจากพ่ายแพ้แก่พม่าเป็นครั้งที่ ๒ พ.ศ. ๒๓๑๐ มีนักมวยมีชื่อเสียงสองคน ดังนี้
๑. นายขนมต้ม เป็นเชลยไทยที่ถูกกวาดต้อนไปครั้งกรุงศรีอยุธยาแตก ครั้งที่ ๒ เมื่อปี พ.ศ.๒๓๑๐ ต่อมาในปี พ.ศ.๒๓๑๗ พระเจ้ากรุงอังวะ กษัตริย์พม่าโปรดให้จัดงานพิธีสมโภชมหาเจดีย์ใหญ่ ณ เมืองร่างกุ้ง ทรงตรัสให้หานักมวยไทยฝีมือดี มาเปรียบกับนักมวยพม่า แล้วให้ชกกันที่หน้าพระที่นั่ง ในวันที่ ๑๗ มีนาคม พ.ศ.๒๓๑๗ ซึ่งนายขนมต้มชกชนะนักมวยพม่าถึง ๑๐ คน โดยไม่มีการพักเลย การชกชนะครั้งนี้เป็นการเผยแพร่ศิลปะมวยไทยในต่างแดนเป็นครั้งแรก ดังนั้นนายขนมจึงเปรียบเสมือน "บิดามวยไทย" และวันที่ ๑๗ มีนาคม ถือว่า เป็นวันมวยไทย
๒.พระยาพิชัยดาบหัก (พ.ศ.๒๒๘๔ - ๒๓๒๕) เดิมชื่อจ้อย เป็นคนเมืองพิชัย จังหวัดอุตรดิตถ์ มีความรู้ความสามารถเชิงกีฬามวยไทยมาก ได้ฝึกมวยไทยจากสำนักครูเที่ยงและใช้วิชาความรู้ชกมวยไทยหาเลี้ยงตัวเองมาจนอายุได้ ๑๖ ปี แล้วจึงฝึกดาบ กายกรรม และมวยจีนจากคนจีน ด้วยฝีมือเป็นเลิศในเชิงมวยไทยและดาบ เป็นที่ปรากฏแก่สายตาของพระยาตาก จึงนำเข้าไปรับราชการได้บรรดาศักดิ์เป็นหลวงพิชัยอาสา หลังจากพระเจ้าตากสิ้นได้กรุงธนบุรีเป็นราชธานี ก็ให้พระยาพิชัยไปครองเมืองพิชัยบ้านเมืองเดิมของตนเอง ในปี พ.ส.๒๓๑๔ พม่ายกทับมาตีเมืองเชียงใหม่แล้วเลยมาตีเมืองพิชัย พระยาพิชัยนำทหารออกสู้รบ การรบถึงขั้นตะลุมบอน จนดาบหักทั้งสองข้าง จึงได้นามว่า พระยาพิชัยดาบหัก
สมัยกรุงธนบุรี
สมัยกรุงธนบุรีเริ่ม พ.ศ.๒๓๑๐ - ๒๓๒๔ ระยะเวลา ๑๔ ปี บ้านเมืองอยู่ระหว่างการฟื้นฟูประเทศ หลังจากการกู้อิสรภาพคืนมาได้ การฝึกมวยไทยสมัยนี้เพื่อการสงครามและการฝึกทหารอย่างแท้จริง
ในยุคนี้มีนักมวยฝีมือดีมากมาย เช่น นายเมฆบ้านท่าเสา นายเที่ยงบ้านเก่ง นายแห้วแขวงเมืองตาก นายนิลทุ่งยั้ง นายถึกศิษย์ครูนิล ส่วนนักมวยที่เป็นนายทหารเลือกของพระเจ้าตากสิน ได้แก่ หลวงพรหมเสนา หลวงราชเสน่หา ขุนอภัยภักดี นายหมึก นายทองดี ฟันขาว หรือพระยาพิชัยดาบหัก การจัดชกมวยในสมัยกรุงธนบุรี นิยมจัดนักมวยต่างถิ่น หรือลูกศิษย์ต่างครูชกกัน กติกาการแข่งขันยังไม่ปรากฏชัดเจน ทราบเพียงแต่ว่าชกแบบไม่มีคะแนน จนกว่าอีกฝ่ายหนึ่งจะยอมแพ้ไป สังเวียนเป็นลานดิน ส่วนมากเป็นบริเวณวัด นักมวยยังชกแบบคาดเชือกสวมมงคล และผูกประเจียดที่ต้นแขนขณะทำการแข่งขัน
สมัยกรุงรัตนโกสินทร์
กีฬามวยไทยในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น รัชกาลที่ ๑ ถึงรัชกาลที่ ๔ พ.ศ.๒๓๒๕ - ๒๔๑๑ ระยะเวลา ๘๖ ปี กีฬามวยไทยยังเป็นศิลปะประจำชาติ มีการจัดแข่งขันในงานเทศกาลประจำปี กติกาเริ่มมีการกำหนดเวลาการแข่งขันเป็นยก โดยใช้กะลามะพร้าวที่มีรูลอยน้ำถ้ากะลามะพร้าวจมถึงก้นอ่างก็จะตีกลองเป็นสัญญาณหมดยก การแข่งขันไม่กำหนดยก ชกกันจนกว่าอีกฝ่ายหนึ่งจะยอมแพ้
สมัยรัชกาลที่ ๑ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช (พ.ศ ๒๓๒๕- ๒๓๕๒)
พระองค์ทรงฝึกหัดมวยไทยมาตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ และทรงสนพระทัยในการเสด็จทอดพระเนตรการแข่งขันชกมวยไทยอยู่เสมอ ในปี พ.ศ.๒๓๓๑ พ่อค้าชาวฝรั่งเศสสองพี่น้องเดินทางไปค้าขายทั่วโลกด้วยเรือกำบั่น คนน้องเป็นนักมวยฝีมือดี เที่ยวพนันชกมวยมาหลายเมืองเดินทางมาถึงกรุงเทพมหานครจึงได้ล่ามกราบเรียนพระยาพระคลัง ขอชกมวยพนันกับคนไทยพระยาพระคลังได้นำความขึ้นกราบทูลรัชกาลที่ ๑ พระองค์ทรงตรัสปรึกษากับกรมพระราชวังบวรพระอนุชา ซึ่งเป็นผู้มีฝีมือมวยไทย และคุมกรมมวยหลวงอยู่ในขณะนั้น รับตกลงพนันกันเป็นเงิน ๕๐ ชั่ง กรมพระราชวังบวรคัดเลือกทนายเลือกวังหน้าฝีมือดีชื่อ หมื่นผลาญต่อสู้กับนักมวยฝรั่งเศสครั้งนี้ สังเวียนการแข่งขันจัดสร้างขึ้นที่สนามหลังวัดพระแก้ว โดยใช้เชือกเส้นเดียวผูกกับเสา ๔ ต้น สูงประมาณ ๗๐ เซนติเมตร ขึงกั้นบริเวณเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัส กว้างประมาณด้านละ ๒๐ เมตร ด้านหน้าปลูกพลับพลาที่ประทับ กติกาการแข่งขันไม่มีการให้คะแนน ชกกันจนกว่าจะแพ้ชนะกันโดยเด็ดขาด เมื่อใกล้เวลาชกทรงตรัสสั่งให้แต่งตัวหมื่นผลาญ ด้วยการชโลมน้ำมันว่านยาตามร่างกาย ผูกประเจียดเครื่องรางที่ต้นแขน แล้วให้ขี่คอคนมาส่งถึงสังเวียน



เมือการแข่งขันเริ่มขึ้น ฝรั่งได้เปรียบรูปร่าง เข้าประชิดตัว พยายามจะปล้ำเพื่อหักคอและไหปลาร้า หมื่นผลาญพยายามปิดป้อง ปัดเปิด สลับกับเตะถีบชิงต่อยแล้วถอยวนหนียิ่งชกนานฝรั่งยิ่งเสียเปรียบเรพาะทำอะไรไม่ได้ ฝรั่งพี่ชายเห็นว่าถ้าชกต่อไปน้องชายคงเสียเปรียบแน่จึงตัดสินใจกระโดดเข้าไปขวางกั้นไม่ให้หมื่นผลาญถอยหนี การกระทำเหมือนช่วยกัน จึงเกิดมวยหมู่ระหว่างพวกฝรั่งกับพวกทนายเลือก ฝรั่งบาดเจ็บหลายคน รัชกาลที่ 1 พระราชทานหมอยาหมอนวดไปรักษาพยาบาล เมื่อหายดีแล้วฝรั่งเศสสองพี่น้องก็ออกเรือกลับไป
• สมัยรัชกาลที่ 2 พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย (พ.ศ.2352 - 2367)
......เมื่อทรงพระเยาว์ พระองค์ทรงฝึกมวยไทยจากสำนักวัดบางหว้าใหญ่ (วัดระฆังโฆสิตาราม) จากสมเด็จพระวันรัต (ทองอยู่) ซึ่งเคยเป็นแม่ทับเก่า ครั้นเมื่อพระชนม์อายุ 16 พรรษา ได้เสด็จมาประทับในพระราชวังเดิมและทรงฝึกมวยไทยจากทนายเลือกเพิ่มเติมอีก อีกทั้งทรงโปรดใหญ่สร้างสนามมวยที่สนามหญ้าบริเวณวังหลัง และทรงเปลี่ยนคำว่า "รำหมัด รำมวย" มาเป็น "มวยไทย"
• สมัยรัชกาลที่ 3 พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (พ.ศ.2367 -2394)
.......
พระองค์ทรงฝึกมวยไทยจากทนายเลือกในรัชกาลที่ 2 ในสมัยนี้ประชาชนตามหัวเมืองยังคงนิยมฝึกมวยไทยและกระบี่กระบองกันอยู่ ด้วยเหตุผลนี้เองท้าวสุรนารี หรือคุณหญิงโม ภรรยาเจ้าเมืองโคราช จึงสามารถคุมทับออกต่อสู้เอาชนะกองทัพของเจ้าอนุวงค์แห่งเมืองเวียงจันทร์ รักษาเมืองไว้ได้
• สมัยรัชกาลที่ 4 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (พ.ศ.2394 - 2411)
......ในขณะที่ทรงพระเยาว์ ทรงแต่งองค์อย่างกุมารชกมวยไทย และเล่นกระบี่กระบองโชว์ในงานสมโภชหน้าพระอุโบสถ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในสมัยนี้เป็นหัวเลี้ยวหัวต่อของอารยธรรมตะวันตกเริ่มแพร่หลายเข้ามาในประเทศไทย แต่มวยไทยยังคงเป็นกีฬาประจำชาติอยู่
• สมัยรัชกาลที่ 5 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (พ.ศ.2411 - 2453)
......พระองค์ทรงฝึกมวยไทยจากสำนักมวยหลวง ซึ่งมีปรมาจารย์หลวงพลโยธานุโยค ครูมวยหลวงเป็นผู้ถวาย0การสอน ทำให้พระองค์โปรดกีฬามวยไทยมาก เสด็จทอดพระเนตรการชกมวยหน้าพระที่นั่ง ทรงโปรดให้ข้าหลวงหัวเมืองต่างๆ คัดนักมวยฝีมือดีมาชกกันหน้าพระที่นั่งเพื่อหานักมวยที่เก่งที่สุดเข้าเป็นทหารรักษาพระองค์ สังกัดกรมมวยหลวง
.....พระองค์ทรงเห็นคุณค่าของกีฬาประจำชาติ จึงตรัสให้มีการแข่งขันมวยไทยขึ้นทั่วประเทศ เพื่อให้เกิดความนิยมกีฬามวยไทยมากขึ้น นอกจากนี้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้มี "มวยหลวง" ตามหัวเมืองต่างๆ เพื่อทำหน้าที่ฝึกสอน จัดการแข่งขัน และควบคุมการแข่งขันมวยไทย เมื่อมีงานพระราชพิธีต่างๆ เช่น งานโสกันต์ งานพระเมรุหรืองานรับแขกเมือง สำนักพระราชวังจะออกหมายเรียกให้มวยหลวงนำคณะนักมวย คณะปี่กลองมาร่วมแสดงในงานด้วย ดังเช่นในงานศพของ กรมขุนมรุพงศ์ศิริพัฒน์ ซึ่งจัดขึ้นที่ท้องทุ่งพระเมรุ (สนามหลวง) ด้านป้อมเผด็จดัสกร ในงานนี้พระองค์ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้มีการจัดแข่งขันมวยไทยหน้าพระที่นั่ง มีนักมวยฝีมือดีจากต่างจังหวัดหลายคนชกชนะคู่ต่อสู้ได้รับพระราชทาน "หมื่น" ดังนี้
1. หมื่นมวยมีชื่อ คือ นายปล่อง จำนงทอง นักมวยฝีมือดีจากเมืองไชยา ผู้ชกด้วยท่าเสือลากหางเข้าจับทุ่มคู่ต่อสู้จนได้รับชัยชนะหลายครั้ง
2. หมื่นมวยแม่นหมัด คือ นายกลิ้ง ไม่ปรากฏนามสกุล นักมวยฝีมือดีจากเมืองลพบุรี ผู้มีลีลาการชกฉลาด รุกรับ หลบหลีกว่องไว ใช้หมัดตรงได้อย่างดียอดเยี่ยม
3. หมื่นชงัดเชิงชก คือ นายแดง ไทยประเสริฐ นักมวยฝีมือดีจากเมืองโคราช ผู้มีการเตะที่รุนแรง และมีหมัดเหวี่ยงอันเลื่องลือ สมยานามว่า "หมัดเหวี่ยงควาย"
...ปี พ.ศ.2430 รัชกาลที่ 5 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้ตั้งกรมศึกษาธิการขึ้น ให้มวยไทยเป็นวิชาหนึ่งในหลักสูตรของโรงเรียนครูฝึกหัดพลคึกษา และโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า
ในสมัยนี้เป็นที่ยอมรับว่า คือ ยุคทองของมวยไทย





สมัยรัชกาลที่ 6 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (พ.ศ.2453 - 2468)
...ในระหว่างปี พ.ศ.2457 - 2461 ประเทศไทยได้ส่งทหารเข้าร่วมกับฝ่ายสัมพันธมิตรในสงครามโลกครั้งที่ 1 ณ เมืองมาเซย์ ประเทศฝรั่งเศส โดยมีพลโทพระยาเทพหัสดินเป็นแม่ทัพคุมทหารไทยไปร่วมรบในครั้งนี้ ท่านเป็นผู้สนใจมาก ได้จัดมวยไทย ชกมวยไทยโชว์ให้ทหารและประชาชนชาวยุโรปชม สร้างความชื่นชอบและประทับใจอย่างยิ่ง ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่มวยไทยเริ่มเผยแพร่ในยุโรป
....ปี พ.ศ.2464 หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ...สนามมวยสวนกุหลาบเป็นสนามมวยถาวรแห่งแรกที่จัดการแข่งขันเป็นประจำ บนสนามฟุตบอลภายในโรงเรียนสวนกุหลาบ ระยะเริ่มแรก ผู้ชมจะนั่งและยืนรอบสังเวียนซึ่งเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส กว้างประมาณด้านละ 26 เมตร ขีดเส้นกั้นบริเวณห้ามผู้ชมล้ำเขตสังเวียน นักมวยคาดเชือกที่มือด้วยด้ายดิบ สวมมงคล ผูกประเจียดไว้ที่ต้นแขน สวมกางเกงขาสั้น สวมกระจับบุนวมป้องกันอวัยวะที่สำคัญ และใช้ผ้าคาดทับรอบเอวอย่างแน่นหนาอีกครั้ง ไม่สวมเสื้อและรองเท้า กรรมการผู้ชี้ขาดแต่งกายด้วยชุดผ้าม่วงนุ่งโจงกระเบน สวมเสื้อราชประแตนและสวมถุงเท้าขาว
....มวยคู่ผู้ที่สนใจมาก คือ หมื่นมวยแม่นหมัด นกมวยฝีมือดีในสมัยรัชกาลที่ 5 ซึ่งอายุได้ 50 ปี ชกกับนายผ่อง ปราบสบถ นักมวยหนุ่มฝีมือดี รูปร่างสูงใหญ่ อายุ 22 ปี จากโคราช การชกครั้งนี้เพื่อแก้แค้นแทนบิดาที่แพ้หมื่นมวยแม่นหมัด เมื่อครั้งชกกันหน้าพระที่นั่งงานพระเมรุขุนมรุพงศ์ศิริพัฒน์ การแข่งขันใช้เวลา 2 นาที หมื่นมวยแม่นหมัดถูกหมัดเหวี่ยงควายของนายผ่อง ล้มนอนหมดสติกับพื้นสนาม ผู้ชมต่างตื่นเต้นกับชัยนะของนายผ่อง วิ่งเข้าห้อมล้อมเพื่อแสดงความยินดี ทำให้เกิดความวุ่นวาย เจ้าที่และลูกเสือต้องทำงานหนัก จากเหตุการณ์ครั้งนี้คณะกรรมการจัดมวยจึงจัดประชุมเพื่อหาทางแก้ไข ในที่สุดตกลงสร้างเวทีมวยขึ้นใหม่ในวันรุ่งขึ้น โดยยกพื้นเวทีสูง 4 ฟุต ปูพื้นด้วยเสื่อจันทบูรณ์หลายผืนเย็บติดกัน มีเชือกกั้นเวทีขนาด 1 นิ้ว มีช่องตรงมุมบันไดสำนักมวยและผู้ตัดสินขึ้นลง ผู้ตัดสินแต่งเครื่องแบบเสือป่าเต็มยศ มีเจ้าหน้าที่รักษาเวลาโดยใช้นาฬิกาจับเวลา 2 เรือน ใช้เสียงกลองเป็นสัญญาณการชกแข่งขันกัน 11 ยกๆ ละ 3 นาที ต้องแยกจากกันเมื่อผู้ตัดสินสั่งแยก ห้ามกัด ห้ามซ้ำ ใช้ลูกติดพันได้ ถ้าคู่ต่อสู้ล้มให้ไปยืนรอที่มุมกลาง มีวงมโหรีปี่กลองของหมื่นสมัคร เสียงประจิตร บรรเลงให้จังหวะขณะแข่งขัน
....ประชาชนสนใจเข้าชมการแข่งขันกันมากและเรียกร้องให้จัดต่อไปอีก รัชกาลที่ 6 จึงทรงโปรดเกล้าให้พระยานนทิเสนสุเรนทรภักดี แม่กองเสือป่า จัดแข่งขันชกมวยเพื่อหาทุนซื้อปืนให้กองเสือป่า โดยให้สมุเทศาภิบาลและข้าหลวงหัวเมืองต่างๆ จัดนักมวยฝีมือดีมาชกกัน นักมวยส่วนใหญ่จากต่างจังหวัดจะพักที่ห้องสโมสรเสือป่า บริเวณสวนดุสิตเมื่อนักมวยเปรียบคู่ได้แล้ว นักข่าวจะถ่ายภาพทำโฆษณา ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่มีการโฆษณา การแข่งขันมวยไทย
...มวยคู่ประวัติศาสตร์ที่สามารถทำเงินได้มากที่สุดในยุคนั้น คือ นายยัง หาญทะเล กับ จี๊ฉ่าง (โฮ้ว จงกุ๋น) นักมวยจีน ผลการแข่งขันจี๊ฉ่างถูกชกที่ใบหน้าแล้วเตะตามที่ก้านคอล้มลงนอนนิ่ง ผู้ตัดสินนับ 10 ก็ไม่สามารถลุกข้ามาต่อสู้ได้
• สมัยรัชกาลที่ 7 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (พ.ศ.2468 - 2477)
      ระหว่างปี พ.ศ.2466 - 2472 พลโทพระยาเทพหัสดินได้สร้าง สนามมวยหลักเมืองท่าช้าง ขึ้น บริเวณโรงละครแห่งชาติปัจจุบัน เวทีมีเชือกกั้นเส้นใหญ่ขึ้น เชือกแต่ละเส้นขึงตึงเป็นเส้นเดียวไม่เปิดช่องตรงมุมสำหรับขึ้นลงเหมือนกับยุคเก่า เพื่อป้องกันนักมวยตกเวทีตรงช่องนี้และจัดการแข่งขันเป็นประจำทุกปี
      ปี พ.ศ.2472 รัฐบาลมีคำสั่งให้การแข่งขันชกมวยไทยทั่วประเทศสวมนวมชกได้ ตังอย่างการสวมนวมจากนักมวยฟิลิปปินส์ที่เข้ามาชกมวยสากลในประเทศไทย ทั้งนี้สาเหตุเนื่องจาก นายแพ เลี้ยงประเสริฐ นักมวยฝีมือดีจากบ้านท่าเสา จังหวัดอุตรดิตถ์ ได้ต่อย นายเจีย แขกเขมร ตายด้วยหมัดคาดเชือก
...ในวันเสาร์ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ.2472 เจ้าคุณคธาธรบดี ได้เริ่มจัดการแข่งขันชกมวยไทยขึ้นที่สวนสนุกภายในบริเวณสวนลุมพินีร่วมกับมหรศพอื่นๆ โดยคัดเอานักมวยฝีมือดีชกกันทุกวันเสาร์เนื่องจากเจ้าคุณเป็นคนทันสมัยจึงเวทีมวยแบบมาตรฐานสากล คือ มีเชือก 3 เส้น ใช้ผ้าใบปูพื้น มีมุมแดง น้ำเงิน มีผู้ตัดสินให้คะแนน 2 คน มีผู้ชี้ขาดการแข่งขันบนเวที 1 คน ให้สัญญาณด้วยระฆังเป็นครั้งแรก และในวันเสาร์ที่ 30 ธันวาคม พ.ศ.2472 ในรายการต้อนรับวันปีใหม่ คู่เอกระหว่างสมาน ดิลกวิลาศ กับ เดช ภู่ภิญโญ มวยประกอบรายการได้แก่ นายแอ ม่วงดี กับสุวรรณ นิวาสะวัตร ซึ่งนายแอ ม่วงดี ได้นำเอากระจับเหล็กมาใช้ป้องกันอวัยวะสำคัญทำให้นักมวยคนอื่นๆ หันมาใช้กระจับเหล็กตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา


ข้อมูลเพิ่มเติมหรืออ่านเพิ่มได้ที่>>>http://student.nu.ac.th/muaythaiboran/prawatmuay05.htm




ตำนาน เหล็กไหล

ตำนาน เหล็กไหล



เหล็กไหล คือ ก้อนแร่เหล็กบริสุทธิ์ที่เกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติ ได้รับการอธิษฐานบรรจุฤทธิ์ โดยพระฤาษีผู้ทรงฌาณชั้นสูง เพื่อธำรงคุณงามความดี โดยมีธาตุกายสิทธิ์เป็นผู้คอยช่วยเหลือผู้ที่มี ความทุกข์ยากให้พ้นภัย จัดเป็นธาตุกายสิทธิ์ชนิดหนึ่งที่มีรังสีหรือพลังปราณที่ทรงอำนาจในการป้องกันตัว และสิ่งที่อยู่ ใกล้ตัว ให้พ้นจากภัยอันตรายอันเกิดจากอาวุธปืนหรือของมีคม เป็นสสารที่มีชีวิตเป็นอมตะและหายากยิ่ง ต้องมีพิธีกรรมมากมายกว่าจะได้มา ฉะนั้นเหล็กไหลจึงเป็นวัตถุอาถรรพณ์ที่ มีราคาแพง เพราะเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายและเป็นที่เข้าใจกันทั่วไปว่า เหล็กไหลมีอานุภาพยอดเยี่ยม สามารถคุ้มครองชีวิตคนที่มีเหล็กไหลพกติดตัว และจะได้รับความคุ้มครองให้ปลอดภัยจากอุบัติภัยร้ายแรงรวมถึงอาวุธร้ายแรงนานาชนิด ได้อย่างอัศจรรย์นั่นเอง


กำเนิดเหล็กไหล

ย้อนกาลเวลาไปนานแสนนาน ในสมัยอสงไขยแสนกัลป์กาลก่อนโน้น มหาฤาษีกไลโกษฐ์ผู้สำเร็จญาณสมาบัติ เป็นผู้เพ่งฌาณเรียกแร่ธาตุชนิดหนึ่ง ซึ่งมีลักษณะแข็งตัวได้ หลอมเหลวได้ สลายตัวได้และรวมตัวได้ มีลักษณะเหมือนเหล็กแต่ไม่ใช่เหล็ก ท่านเรียกให้มารวมตัวกันอยู่ตามถ้ำตั้งแต่สมัยแอตแลนติสซึ่งเคยมีความเจริญรุ่งเรือง
สูงสุดในยุคนั้น แต่ได้ล่มสลายหายไปจากแผนที่โลก เชื่อกันว่าทวีปนี้ได้จมหายไปในมหาสมุทรเมื่อคราวน้ำท่วมโลกครั้งใหญ่ และโนอาได้เป็นผู้สร้างเรือใหญ่หนีน้ำท่วม ตามเรื่องราวที่ได้ถูกบันทึกอยู่ในคัมภีร์โบราณ

นอกจากนี้ยังมีท่านมหาฤาษีกัสสปและเหล่ามหาฤาษีผู้ทรงฌาณสมาบัติบรรลุ อภิญญาสูงสุด ท่านก็เป็นผู้ที่ได้เพ่งฌาณเรียกแร่ดังกล่าวมารวมกันที่ผนังถ้ำ เพื่อเป็นที่พำนักของวิญญาณ ได้เล็งเห็นด้วยอำนาจทิพยจักษุญาณว่า ภายใต้แผ่นดินนี้ลึกลงไปประมาณ 3 กม. มีแหล่งรวมของธาตุกายสิทธิ์มากมายหลายชนิด หล่อหลอมเหลวปะปนรวมกันอยู่ ในใจกลางโลก ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในโลกวิทยาศาสตร์ ว่า ?ลาวา? นั่นเอง แต่ภายใต้หินลาวาเหล่านั้นมี ?แร่เหล็ก? ชนิดหนึ่งสมบูรณ์ด้วยคุณภาพ และเยี่ยมยอดเหนือกว่าเหล็กชนิดอื่น

มหาฤาษีผู้ทรงฤทธิ์อภิญญา จึงใช้พลังจิตด้วยฤทธิ์อภิญญาของท่านดึงเอาแร่เหล็กดังกล่าวขึ้นมาจากใต้ลาวา อธิษฐานจิตให้เป็นของศักดิ์สิทธิ์สุดวิเศษ มีอำนาจกายสิทธิ์ มีฤทธิ์ คุ้มครองปกป้องสรรพภัยได้อย่างอัศจรรย์ ดัวยพลังอำนาจจิตชั้นสูงปลุกเสกบรรจุไว้ด้วยอำนาจแห่งฤทธิ์ของมหาฤาษี นั้น จากนั้นได้ใช้อำนาจอิทธิฤทธิ์ตัดเหล็กวิเศษออกทำเป็นรูปเคารพของตน เช่น รูปพระอิศวร รูปพระนารายณ์ รูปพระพรหม แล้วอัดพลังเจโตสมาธิหรือพลังฌาณเข้าไปพร้อมกับอธิษฐานให้เกิดความศักดิ์สิทธิ

แต่ก็มีมหาฤาษีบางตนมีศรัทธาแก่กล้า เข้าฌาณเต็มอัตราแล้วถอดจิตหรืออาตมันของตนเองด้วยมโนมัยฤทธิ์ เข้าไปอยู่ในเทวรูปเหล็กวิเศษนั้นเลย ทีเดียว ถือว่าเป็นการสละชีวิตบูชาองค์พระผู้เป็นเจ้าตามลัทธิความเชื่อถือ ฤาษีตนอื่นเห็นเข้าก็เอาแบบอย่าง เพราะถือว่าเป็นกุศลสูงสุดที่ได้เอาดวงจิตเข้าร่วมปรมาตมันของพระผู้เป็นเจ้าโดย ทางลัด

ต่อมาฤาษีอื่น ๆ เห็นว่าการถอดจิตเข้าในเทวรูปนั้นมีมากแล้ว น่าจะเข้าสิงสู่ในรูปแบบอื่น ๆ ที่จะยังคงขลังและศักดิ์สืทธิ์เหมือนเดิม เพื่อให้สาธุชนได้ไว้สักการะบูชาเพื่อความเป็นศิริมงคล คุ้มครองป้องกันชีวิตและทรัพย์สมบัติ

ดังนั้นฤาษีผู้บำเพ็ญญาณอื่น ๆ ที่บำเพ็ญบารมีถึงขั้นพรหมในถ้ำต่าง ๆ จึงได้ถือเป็นแบบอย่างสืบทอดกันมา ก็จะทำการเพ่งฌาณเรียกเอาแร่ธาตุกายสิทธิ์ดังกล่าวให้ไหลมารวมตัวกันเป็นสังขารอมตะ สำหรับวิญญาณซืมสิง เมื่อกายเนื้อได้แตกดับทำลายลงไปตามกาลเวลา ด้วยเหตุนี้ตามถ้ำต่าง ๆ จึงมีเหล็กไหลซุ่มซ่อนแฝงเร้นกายสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน

นับได้ว่าเป็นต้นแบบของเหล็กไหลที่เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในโลก จนในกาลต่อมาได้เป็นคติ นิยมสืบทอดกันมาในทางพระพุทธศาสนา ที่ผู้สำเร็จฌาณอภิญญาชั้นสูง นิยมถอดจิตตนเองด้วยวิธี มโนมยิทธิ เข้าสิงในรูปปั้นพระพุทธปฏิมากร แล้วอธิษฐานให้พระพุทธรูปนั้นลอยไปตามน้ำ เห็นสถานที่ใดเหมาะสมที่จะให้ประชาชนได้กราบไหว้บูชา ชาวบ้านก็จะทำพิธีบวงสรวงชักลากขึ้นไปสักการบูชาได้สำเร็จ เช่น หลวงพ่อโสธร หลวงพ่อวัดไร่ขิง หลวงพ่อบ้านแหลม หลวงพ่อทอง เป็นต้น

เหล็กไหลนี้จึงเปรียบได้กับร่างกายของท่านมหาฤาษีทั้งหลาย ที่มีวิญญาณอันเป็นอมตะของท่านมหาฤาษีครองอยู่ จึงได้เกิดอภินิหารเหนือสิ่งมีชีวิตทั้งปวง จนบางครั้งมีผู้เรียกขานกันว่า ?

ธาตุกายสิทธิ์
คำว่า"ธาตุกายสิทธิ์"นั้น หมายถึง วัตถุธาตุบางชนิดที่ปรากฏอยู่ในจักรวาลอันกว้างใหญ่นี้ ประกอบไปด้วยพลังงานอันมหาศาล อันเกิดจากเจตสิกผู้ครอบครองธาตุนั้นแฝงเร้นอยู่ ใช้สำหรับป้องกันภัยให้กับตนเองโดยธรรมชาติ แต่บางครั้งไม่ได้ปรากฏให้เห็นชัดเจน กลับซืมลึกลงไปอยู่ใต้พื้นผิวโลก ตามป่าตามเขา ตามถ้ำ แม้แต่ห้วยหนอง คลองบึง รอจนกว่าผู้ที่มีภูมิจิตภูมิธรรมสูงไปพบเข้าแล้วหยิบยกเอาธาตุกายสิทธิ์เหล่านี้มา ใช้ประโยชน์ เพื่อมวลมนุษยชาติและปกป้องคุ้มครองคนหมู่มาก ดังนั้นจึงเชื่อกันว่า ?เหล็กไหล? จัดเป็นธาตุกายสิทธิ์ชนิดหนึ่งที่ประกอบด้วยธาตุที่สำคัญดังนี้

1.ธาตุเหล็ก คือ ธาตุหลักเนื่องจากมีความแข็งแกร่งมากที่สุดในยุคนั้น

2.ธาตุดิน ที่ถูกความอัดแน่นของโลก จนเกิดการเปลี่ยนแปลงทางกายภาเป็นหินสีต่าง ๆ เช่น เพชร นิล จินดา อัญมณีหลากสี

3.ว่านมหามงคล ที่มีฤทธิ์อำนาจในตัว เช่น ว่านต่าง ๆ ไพรดำ ซึ่งเป็นพืชที่ดูดซับเอาพลังต่าง ๆ จากผืนดินเก็บสะสมเอาไว้ในตนเอง จนเกิดฤทธิ์เดช

4.ปรอท หรือธาตุอื่น ๆ ที่สามารถเคลื่อนไหว หรือเคลื่อนที่ได้ด้วยตนเอง โดยการอ่อนตัวแล้วกลิ้งไหลไป มีฤทธิ์อำนาจทางความยืดหยุ่น หรือหดตัวเองได้ หลีกภัยได้เร็ว ปรับสภาพตนเองให้เป็นไปในลักษณะต่าง ๆ ได้

ดังนั้นแร่เหล็กที่อยู่ภายใต้ลาวานั้น ย่อมได้รวบรวมเอาสรรพสิ่งจากธาตุ กายสิทธิ์ทั้งหลายเหล่านั้นรวมกันไว้ในตัวเอง คือมีฤทธิ์ในการปกป้องตนเองให้พ้นจากภัยในทุกรูปแบบ เพราะฉะนั้นเมื่อมหาฤาษีได้ใช้อิทธิฤทธิ์ดึงธาตุเหล่านี้ขึ้นมา แล้วถอดจิตด้วยฌาณสมาบัติเข้าแฝงตนอยู่ในธาตุ กายสิทธิ์เหล่านี้ เพื่อฝึกฝนปฏิบัติทางจิตให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป จึงทำให้เจตสิกของผู้ทรงฌาณนั้นเกิดพลังอันมหาศาล แม้แต่จะงอเหล็กก็ยังได้ จนมนุษย์ได้ค้นพบสิ่งเหล่านี้เข้าโดยไม่ได้ตั้งใจ และไม่ทราบว่ามันคืออะไร ก็เลยเรียกกันว่า ?เหล็กไหล? ตามสภาวะการแสดงอิทธิ์ฤทธิ์ที่ปรากฏต่อสายตาในขณะนั้นนั่นเอง คือลักษณะเหมือนก้อนเหล็กที่ยืดตัวได้ มีสีสรรต่าง ๆ กันหลายรูปแบบ เหล็กไหลจึงเป็นธาตุ กายสิทธิ์ที่ ทรงอิทธิฤทธิ์ จนกลายเป็นสิ่งล้ำค่าที่ผู้คนแสวงหาไม่รู้จักจบมาทุกยุคทุกสมัยตราบจนเท่าทุกวันนี้

เหล็กไหลมีหลากหลายชนิด ลักษณะเป็นเนื้อโลหะสีมันวาวสะท้อนแสงได้ดี แข็งมีน้ำหนักเหมือนโลหะทั่วไป สนิมไม่กินเนื้อ มีพลังอำนาจในตัว ทางธรณีวิทยาเราจัดเป็นแร่ ประเภทหนึ่ง แต่ คนโบราณได้ค้นพบธาตุกายสิทธิ์เหล่านี้ขึ้นมา โดยการอนุมานจากอนุภาคธรรมชาติ ที่แสดงตนออกมาตามสภาพที่พบเห็นแล้วเรียกมันว่า ?เหล็กไหล? เช่น ยืดได้หดได้ด้วยตนเอง ไหลยืดออกมาเป็นทางยาว ดับความร้อนได้ ชอบกินน้ำผึ้ง มีฤทธิ์ทำลายฟอสฟอรัสหรือหัวไม้ขีดให้หมดสภาพไปได้ คือจุดไม่ติด เมื่อมีการทดลองให้ประจักษ์แก่สายตาในอิทธิ์ฤทธิ์ปาฎิหาริย์ จึงทำให้เกิดมีความปรารถนาและมี ความต้องการสูง มีการติดต่อซื้อขายกันในราคาที่ค่อนข้างสูง คิดตามน้ำหนักเป็นบาทหรือเป็นชิ้นเป็นองค์ในราคาหลักร้อยล้านกันขึ้นไป

ดังนั้น ?เหล็กไหล? จึงเป็นที่ปรารถนาและใฝ่ฝันของคนทั่วไป แม้บางที่จะต้องเสี่ยงภัยถึงขั้นเอาชีวิตแลกก็ยอม เรื่องราวของเหล็กไหลจึงดูเหมือนเป็นเรื่องลี้ลับซับซ้อน และหลายคนคงอยากจะรู้เหมือนกันว่า เหล็กไหลคืออะไรกันแน่ ? เกิดขึ้นมาได้อย่างไร ? เหล็กไหลที่ทรงอิทธิฤทธิ์นี้ มีจริงหรือไม่ ? จึงเป็นปรัศนีที่ท้าทายความกระหายใคร่อยากรู้ตามลักษณะวิสัยของมนุษย์ จึงทำให้ต้องเที่ยวหาคำตอบจากผู้รู้ทั้งหลาย หรือผู้มี ประสพการณ์ที่มีความรู้ที่พึงเชื่อถือได้ จนกลายเป็นตำนาน ?เหล็กไหล? ที่เล่าขานที่สืบทอดกันมาแต่สมัยโบราณตราบถึงปัจจุบัน บางครั้งก็มีผู้ขนานนามว่า ?ธาตุน้ำนมพระแม่ธรณี?

ธาตุน้ำนมพระแม่ธรณี

พระแม่นางธรณีเป็นผู้รักษาแผ่นดินโลก และสิ่งที่เป็นของแข็งอยู่ในโลกเรานี้จึงได้ถูกเรียกว่า ?ธาตุดิน? ดังนั้น ?เหล็กไหล? จึงจัดเป็นธาตุกายสิทธิ์ที่เกิดขึ้นมาจากธาตุ ของ ?พระแม่นางธรณี? นั่นเอง ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของผิวโลกในหลายศตวรรษที่ผ่านมา โดยเฉพาะแผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิดย่อมก่อให้เกิดการเคลื่อนที่ของแร่ธาตุต่าง ๆ ตามกฎของธรรมชาติ

เหล็กไหลประเภทต่าง ๆ ที่อยู่ตามป่าเขา ตามถ้ำจึงได้เริ่มปรากฏตัวสู่โลกภายนอกในรูปแบบต่าง ๆ ส่วนเหล็กไหลที่เกิดจากปล่องภูเขาไฟระเบิด ตัวแร่เหล็กไหลจะอยู่ ใจกลางก้นบ่อของภู เขา และจากความร้อนแรงที่หลอมละลายอยู่ภายใจกลางโลก จึงทำให้แร่ธาตุต่าง ๆ รวมตัวเข้าด้วยกัน ทำให้เกิดการไหลรวมตัวกับแร่ธาตุอื่น ๆ อีกหลายชนิด

ธาตุเหล็กไหลนี้จัดได้ว่า มีชีวิตจิตวิญญาณ และเป็นธาตุกายสิทธิ์ ด้วยว่ามันมี พลังงานอยู่ ในตนเองสูงมาก พลังงานนี้จะเทียบเท่ากับน้ำหนักหรือแรงกด เหมือนกับสิ่งของที่มีน้ำหนักมาก ๆ จนบางครั้งยกไม่ขึ้น หรือยกขึ้นไม่ไหว นี่แหละคือคุณค่าพิเศษของธาตุกายสิทธิ์ชนิดนี้ จึงจัดเป็นธาตุที่หาได้ยากมาก จะอยู่ตามถ้ำ ตามหน้าผา หุบเขา หรือภูเขา บางครั้งเราเรียกกันว่า ?ธาตุน้ำนมของพระแม่นางธรณี? ด้วยเกิดจากสิ่งหลอมเหลวภายในโลกนั่นเอง จึงเปรียบเสมือนเลือดน้ำนมในอกของพระแม่ นางธรณี

ปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์ได้ใช้พลังงานจากธาตุกายสิทธิ์หลายชนิดอันเกิดจากแร่ธาตุธรรม
ชาติ มาเป็นส่วนประกอบสำคัญในเครื่องมือทางการแพทย์ อุปกรณ์ คอมพิวเตอร์ และอีเล็คโทรนิค

ธาตุกายสิทธิ์เหล็กไหลก็เช่นกัน เมื่อคนเราได้ค้นพบพลังงานอันมหาศาลที่ ซ่อนเร้นอยู่ จึงกลายเป็นของที่ทุกคนสนใจใคร่แสวงหากัน และจะหาธาตุเหล็กใดในโลกนี้บ้าง ที่มีพลังลึกลับอันมหัศจรรย์ซ่อนเร้นอยู่ในตัว เพราะเป็นพลังที่พิสดารจากธรรมชาติ เนื่องจากธาตุเหล็กธรรมดา ถ้าสัมผัสพลังดูแล้วจะรู้สึกว่าธรรมดา แต่ถ้าเป็นเหล็กไหลจะรู้สึกถึงพลังอันหนักหน่วง มีน้ำหนักมากจนรู้สึกได้

การสัมผัสพลังของเหล็กไหลนั้น จะต้องอาศัยการฝึกฝนศึกษาจาก กรรมฐานจนเกิดญาณทัศนะ สัมผัสได้ลึกละเอียด มองเห็นและถ่ายทอดออกมาทางอารมณ์ความคิด เพราะพลังธรรมชาติ กับพลังจากพุทธคุณหรือการสวดยัดวัตถุธาตุมงคลนั้นย่อมจะแตกต่างกัน เหล็กไหลจึงจัดเป็นเหมือนแก้วกายสิทธิ์สำหรับผู้ครอบครองที่มีบุญบารมีเท่านั้น

การสัมผัสด้วย ?ญาณ? จากผู้มีบารมีธรรมแต่ละคนนั้น ย่อมจะต้องได้คำตอบถึงคุณลักษณะของเหล็กไหลที่ตรงกัน พลังของเหล็กไหลนั้นรุนแรงมาก จนผู้ทดสอบพลังต้องคลายมือออกจากเหล็กไหลนั้น เพราะจะรู้สึกจุกแน่นหน้าอก เหมือนถูกพลังอันหนักหน่วงโถมใส่จนรับไว้ไม่ไหว จำเป็นต้องคลายสมาธิ โดยฉับพลัน ก็พลังนี้แหละจะสามารถรับรู้ถึงความรู้สึกของคนเราได้ มองเห็นต่างหูต่างตาแทนเราได้ จึงทำให้วัตถุ มงคลเหล็กไหลเหมือนมีชีวิตจิตวิญญาณ

เรื่องราวความเป็นไปของเหล็กไหล ค่อนข้างสลับซับซ้อนและยากต่อการเสาะแสวงหา นอกจากการชี้แนะของ ครูบาอาจารย์ รุ่นก่อน ๆ ที่ท่านได้ศึกษาและมีประสพการณ์ โดยเฉพาะตำนานเหล็กไหลเหล่านี้ ได้รับการบอกเล่าสืบทอดกันมาด้วยวาจา จนเมื่อ หลวงพ่อสัมฤทธิ์ อดีตเจ้าอาวาส วัดถ้ำแฝด อ.ท่าม่วง จ.กาญจนบุรี ได้เปิดเผยเรื่องราวอันมหัศจรรย์นี้จากการบอกเล่าสืบทอดกันมาแต่โบราณ ถ่ายทอดจากประสพการณ์ ออกเผยแพร่เป็นตำนานเรื่องเล่าขาน

จนพระอาจารย์ สิทธา เชตวัน นักเขียนนวนิยาย และเรื่องราวที่ ลี้ลับทางจิตอภิญญา ผู้มีบารมีธรรมและญาณหยั่งรู้ชั้นสูง ซึ่งปัจจุบันอยู่ในเพศบรรพชิตที่ กำลังแสวงหามรรคผลในปัจจุบัน ได้เคยกล่าวถึงหลวงพ่อสัมฤทธิ์ไว้ว่า

?พระธุดงค์ส่วนใหญ่ท่านจะแสวงหามรรคผลนิพพาน แต่หลวงพ่อสัมฤทธิ์ไม่ เอาอย่างนั้น จะเอาเหล็กไหลลูกเดียว ช่างกล้าหาญชาญชัยถึงปานนั้น"

เพราะผู้ที่จะรู้เรื่องราว ?เหล็กไหล? ส่วนใหญ่จะเป็น พระเกจิอาจารย์ผู้ผ่านการวิเวกตามป่าเขาลำเนาไพร เป็นผู้ทรงญาณเก่งกล้าในพุทธาคม จึงจะมีโอกาสได้สัมผัสหรือรับรู้เรื่องราวเหล่านี้ ตลอดจนมีเหล็กไหลบางประเภทอยู่ในครอบครอง

หลวงพ่อสัมฤทธิ์ ท่านศึกษาเรื่องเหล็กไหลมาจาก หลวงพ่อดี วัดพระไต นครเวียงจันทร์ ประเทศลาว อายุ 90 ปีเศษ แต่ยังแข็งแรงเหมือนคนอายุ 60 แต่ท่านเชี่ยวชาญในเรื่อง เหล็กไหลไพรดำ เล่นแร่แปรธาตุ ได้ชวนหลวงพ่อสัมฤทธิ์ศึกษาเรื่องเหล็กไหล โดยออกธุดงค์ไปทาง ภูเขาควาย เข้าไปถึงเขมร และญวน จนได้รับความรู้เป็นอย่างดี จึงย้อนกลับประเทศไทย ออกธุดงค์ไปตามป่าเขาจากเหนือจรดใต้ของประเทศ ทำให้ท่านได้ประสพการณ์เรื่องของ ธาตุกายสิทธิ์ และเหล็กไหลมากมาย

ดังนั้นเรื่องราวต่าง ๆ เหล่านี้หาใช่จะยึดเป็นตำราได้ไม่ เพียงแต่เป็นเสี้ยวหนึ่งของประสพการณ์จากครูบุรพาจารย์ในอดีต ที่ถูกถ่ายทอดออกมาเป็นลายลักษณ์อักษร เพื่อใช้ประกอบการศึกษาและหาทางพิสูจน์กันต่อไป

?เหล็กไหลไพลดำ พูดพล่ามเป็นบ้า เล่นแร่แปรธาตุ ผ้าขาดเป็นวา คิดสะระตะโสฬส นอนอดเหมือนหมา? ดังคำพังเพยของคนโบราณที่ได้ให้ข้อคิดสะกิดเตือนลูกหลานเอาไว้ ไม่ให้สนใจในเรื่องเหล่านี้

เพราะเป็นช่องทางหากินของเหล่ามิจฉาชีพ ใช้เล่ห์เหลี่ยมกลโกงแบบ 18 มงกุฎ ใช้ไสยศาสตร์และมายากลหลอกลวงหากินต้มประชาชน ผู้รู้ไม่ทันก็จะเสียเงินเสียทองเป็นจำนวนมากได้

ฤาเป็นเรื่องที่เบื้องบนต้องการเปิดเผยความเร้นลับของ เหล็กไหล นี้กันแน่ เพราะเมื่อ 30 ปี ก่อน ทันตแพทย์วิชิต ตริชอบ ได้เปิดเผยเรื่องราวของเหล็กไหลในแง่ การผจญภัย และพิธีกรรมตัดเหล็กไหล ผ่านทางนักเขียนนามอุโฆษ ?พนมเทียน? ในหน้าหนังสือพิมพ์ ?เดลินิวส์? ทำให้คนอ่านทั่วประเทศติดกันงอมแงมทีเดียว

เคยมีคนถามคุณหมอวิชิตว่า ?เหล็กไหลมีจริงหรือเปล่า? คำตอบก็คือ ?ผมได้เห็นเหล็กไหลจริง ๆ ดังที่ได้เล่าไว้ในหนังสือเรื่อง เหล็กไหลทั้ง 4 เล่มนั่นแหละ แต่ไม่ กล้ายืนยันว่า เหล็กไหล ที่แท้จริงมีอยู่ในโลกนี้จริง ๆ หรือไม่ มันยังอึมครึมลึกลับอยู่?

เพราะอาจจะเป็นมายาศาสตร์ชั้นสูง ที่ผู้สำเร็จญาณสมาบัติชั้นสูง หรือสำเร็จอภิญญาใช้ฤทธิ์อำนาจสะกดจิตให้เห็นตามที่ต้องการ หรือใช้มายากลระดับเซียนเหยียบเมฆ เพราะเหล็กไหลที่ตัดมาทั้งหมดนั้น ในที่สุดก็ได้ล่องหนหายไปอย่างลึกลับเช่นกัน

แม้ในปัจจุบัน เรื่องราวของการใช้มายากล ในผู้ที่แอบอ้างเป็นพระสงฆ์ ก็ยังมีอยู่ให้เห็นเป็นข่าวเมื่อเร็ว ๆ นี้เช่นกัน การที่อวดแอบอ้างเป็นผู้มีฤทธิ์อภิญญา ใช้ทีมงานร่วมมือกันหลายคน แสดงการปรากฏตัวของ ?เปรต? การเคลื่อนย้ายวัตถุข้ามมิติ การย่นระยะทาง เสกเรียกของกลางอากาศ แล้วทำไมจะใช้ขบวนการสร้างเรื่องราวของเหล็กไหลให้ดูพิสดารสมจริงไม่ได้

เรื่องราวของตำนานเหล็กไหลในที่นี้ เป็นข้อมูลที่หลวงพ่อสัมฤทธิ์ ได้รับมาจากครูบาอาจารย์หลายท่านด้วยกัน ที่เหมือนกันก็มี ที่ขัดแย้งกันก็มี ตามภูมิความรู้ภูมิธรรมของแต่ละท่าน ตลอดจนประสพการณ์จากการปฎิบัติและศึกษาจากของจริงตามป่าตามเขามานานนับสิบปี


ประเภทของเหล็กไหล

ธาตุศักดิ์สิทธิที่เราเรียกกันว่า ?เหล็กไหล? นี้ พอจะแบ่งแยกได้เป็นสองประเภทใหญ่ ๆ ด้วยกัน

1.ธรรมธาตุ กำเนิดของเหล็กไหลประเภทนี้ เกิดจากจิตของเทพพรหมในอดีตอันไกลโพ้น ซึ่งเป็น ?อรูปพรหม? ที่ปรารถนาจะมาช่วยรักษาพระพุทธศาสนา จึงได้ลงมาบำเพ็ญฌาณในมนุษย์โลก ได้เข้ามาสัมผัสเข้ากับกลิ่นอันโอชะของง้วนดิน ที่เป็นธาตุ บริสุทธิ์มาแต่เดิม แล้วเกิดติดใจในความโอชาของง้วนดินเข้า เมื่อเสพแล้วก็เลยหาที่พักพิงอาศัยอยู่ ตามเงื้อมเขา ตามถ้ำอันสงบ เป็นอยู่อย่างนั้นตามสภาพของจิต ล้านปีบ้าง แสนปีบ้าง หมื่นปีบ้าง ร้อยปีบ้าง หนึ่งปีบ้าง

เมื่ออัธยาศรัยของจิตเริ่มเกาะรูปธรรม จึงได้เนรมิตรธาตุบริสุทธิ อันประกอบด้วย ธาตุทั้ง 4 อันได้แก่ ดิน น้ำ ลม ไฟ ด้วยการเนรมิตรเอาด้วยกำลังแห่งฤทธิ์ขึ้นมาประกอบเป็นเรือนกาย ฝังตัวอยู่ในก้อนธาตุเหล่านั้น อาศัยอยู่ในโลกมนุษย์ เป็นเพศผู้ก็มี เพศเมียก็มี อยู่โดดเดี่ยวก็มี เป็นคู่ก็มี เป็นกลุ่มก็มี มีรังอาศัยอยู่ก็มี ที่ไม่มีรังอาศัยอยู่ก็มี โดยปกติแล้วปีหนึ่ง ๆ ประมาณเดือน 5 ธาตุกายสิทธิ์เหล่านี้จะออกหาเสพง้วนดิน

แต่ในสมัยปัจจุบันโลกมนุษย์ของเรา ผิวพื้นโลกไม่มีความสะอาดเพียงพอ จึงไม่มีง้วนดินอยู่ ธาตุกายสิทธิ์เหล่านี้จึงต้องอาศัย เสพน้ำผึ้งแทนเฉพาะในเวลากลางคืนโดยอาศัยป่าเขาต่าง ๆ ซึ่งบางคนอาจจะเคยพบเห็น

ลักษณะการเคลื่อนที่ของธาตุกายสิทธิ์เหล่านี้ จะปรากฏเป็นดวงกลมใหญ่ เล็ก ลอยออกจากหน้าผาหรือถ้ำ ออกไปจับรังผึ้งตามต้นไม้ บางดวงก็ลอยหายไปในโพรงไม้เพื่อกินน้ำผึ้งโพรง บางดวงก็ลอยหายไปใต้พื้นดินเพื่อกินน้ำหวานของแมงขี้สูตร

ถ้าผู้พบเห็นมีความสามารถพิเศษ ก็สามารถเชิญเขามาสนทนาได้เช่นกัน แต่ถ้าต้องการที่จะครอบครองของสิ่งนี้ ต้องมีวาสนาบารมีสั่งสมร่วมกันมาตั้งแต่อดีต หรือมิเช่นนั้นก็ต้องเป็นผู้มีศีลธรรม จิตใจเป็นบุญเป็นกุศล ถึงพร้อมพรหมวิหารธรรม เจตนาเป็นกุศลจิต ก็อาจทำพิธีอัญเชิญท่านให้ปรากฏตนออกมา เพื่อสงเคราะห์ช่วยเหลือผู้ทรงคุณธรรมทั้งฝ่ายฆราวาสและบรรพชิตที่ประสงค์จะช่วยกัน สืบพระศาสนาขององค์พระศรีศากยมุณี ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นผู้ที่เคยเกี่ยวข้องกันมาแต่อดีตชาติ แล้วได้จุติลงมาเป็นมนุษย์

เทพพรหมเหล่านี้มุ่งการบำเพ็ญบารมีทำความเพียรจนเข้าถึงอริยสัจจธรรม เพื่อที่จะได้น้อมนำชีวิตอุทิศตนเอง ถวายเป็นพุทธบูชาเสริมสร้างบารมีของตน จนเข้าสู่มรรคผลนิพพาน ในอนาคตกาลภายภาคเบื้องหน้า และจรรโลงกอบกู้อุปถัมภ์ค้ำชู พระพุทธศาสนาที่เป็นฝ่ายสัมมาทิฐิ ที่ปฏิบัติถูกต้องตามความเป็นจริงแห่งธรรม

ดังนั้นฤทธิ์อำนาจของเหล็กไหลชนิดนี้จะสูงกว่าธาตุกายสิทธิ์ทุกประเภท สามารถทำปฏิกิริยาต่อเชื้อปะทุทุกชนิดและศาสตราวุธต่าง ๆ ให้หมดอานุภาพได้ เมื่อเทพนั้นมีความประสงค์จะแสดงอิทธิฤทธิ์ให้ดู หรือเพื่อคุ้มครองรักษาเจ้าของเหล็กไหลนั้น คือจะแสดงฤทธิ์ก็ต่อเมื่อมีเหตุจำเป็นเท่านั้น

นอกจากนี้ยังล่องหนหายตัวได้เมื่อต้องการ โดยการสลายรูปธาตุทั้งสี่ให้เป็นอรูปธาตุ (วิญญาณธาตุ) แล้วประกอบขึ้นใหม่ได้ และเมื่อยังไม่ประกอบรูปธาตุก็จะยังไม่กินน้ำผึ้ง ต่อเมื่อประกอบธาตุแล้วจึงจะกินน้ำผึ้ง และต้องเป็นน้ำผึ้งที่บริสุทธิ์อีกด้วย

ลักษณะพรรณสัณฐานของเหล็กไหลประเภทนี้มีหลายรูปแบบ เช่น รูปไข่ กลมรี ครึ่งซีก ทรงกลม หนำเลี๊ยบ รักบี้ เป็นต้น เพราะมองดูเผินจะมองไม่ออกเลยว่าเป็นเหล็กไหล เพราะเหมือนก้อนหิน ก้อนกรวดธรรมดา ธาตุกายสิทธิ์เหล็กไหล ที่เป็นธรรมธาตุนี้ แต่ละองค์จะมีนามของตนเองโดยเฉพาะ จะต้องสอบถามนามของท่านเอาเอง

ยุคสมัยปัจจุบันมีผู้ตั้งค่านิยมของ ธาตุกายสิทธิ์ ไว้สูงมาก จนเกิดการทุ่มเทติดตามหาวัตถุธาตุกายสิทธิ์นี้อย่างจริงจัง จนหลายคนหมดเงินหมดทองไปเป็นจำนวนมาก แต่มีน้อยรายที่จะพบกับความสำเร็จ เพราะขาดความรู้ความเข้าใจ ความเป็นมาของธาตุวิเศษเหล่านี้ รวมทั้งขาดบุญวาสนาอีกด้วย พึงตระหนักอยู่เสมอว่า สิ่งใดมีคุณอนันต์ ก็ย่อมเกิดโทษอันมหันต์ได้เช่นกัน

2.ธาตุสำเร็จ เหล็กไหลชนิดนี้เป็น ?รูปธาตุ? มีแต่เพียงจิตครอง ไม่มีวิญญาณครอง เกิดจากฤทธิ์อำนาจของเทพระดับต่ำลงมาในระดับ ?รูปพรหม? โดยเมื่อครั้งในอดีตได้เคยบำเพ็ญตบะเป็นฤาษีชีไพรจนสำเร็จรูปฌาณ แต่ด้วยบุพกรรมและความปรารถนาบางอย่าง จึงได้ลงมาสู่โลกมนุษย์ในลักษณะเป็นก้อนธาตุสำเร็จ รูปทรงต่าง ๆ กัน ที่เป็นเหมือนโลหะธาตุก็มี เหมือนแก้วใสก็มี สถานที่ อยู่ของเหล็กไหลประเภทนี้ มักจะอยู่ภายในถ้ำที่มีความสะอาด เย็น หรือชื้นแฉะ ธาตุเหล็กไหลประเภทนี้ไม่สามารถล่องลอยไปหาน้ำผึ้งกินเองได้ จะต้องอาศัยวัตถุธาตุที่เป็นสื่อเป็นสะพานนำไป โดยการไหลไปตามพื้นดิน ผนังถ้ำ หรือ หน้าผา

หากสถานที่นั้นไม่มีผึ้งทำรังอยู่ นานวันเข้าเหล็กไหลก็จะเคลื่อนย้ายเปลี่ยนที่ อยู่ใหม่ต่อไปเรื่อย ๆ บางครั้งก็จะมีการขับถ่ายของเสียออกมา ซึ่งเรียกกันว่า ?ขี้เหล็กไหล? เมื่อถ่ายมูลเสร็จจะกลับเข้ารังต่อไป

สำหรับเหล็กไหลประเภทนี้มีฤทธิ์อำนาจใกล้เคียงกับธาตุกายสิทธิ์ประเภทแรก เพราะเป็นการประกอบธาตุให้ถูกส่วนของผู้มีวิชาแก่กล้าทางโลกียฌาณ คือ ฤาษี ชีไพร คนธรรพ์ วิทยาธร เป็นต้น แต่ไม่สามารถคุ้มครองตัวเองได้ เพราะถ้าเจอะผู้มีวิชาอาคมที่ แก่กล้า จะถูกทำลายหรือแย่งชิงได้ง่าย เนื่องจากมีเพียงวิญญาณธาตุ คือ พลังงานอย่างเดียว

ดังนั้นผู้มีเหล็กไหลประเภทนี้อยู่ มักจะไม่เปิดเผย เพราะเกรงผู้มีวิชาเรียกเอาได้ ลักษณะของเหล็กไหลประเภทนี้มักจะพบเห็นบ่อยครั้ง มีชื่อเรียกหาแตกต่างกันไปตามความคิดความเข้าใจและคุณสมบัติที่พบเห็น บางครั้งต้องทำพิธีพลีกรรมตัดเอา แต่ สำหรับผู้ทรงฌาณระดับสูงแล้ว เพียงแต่ทำการอัญเชิญท่าน ก็จะเสด็จมาอยู่ด้วยโดยไม่ ต้องมีพิธีกรรมที่ยุ่งยากแต่อย่างใด

อาณาจักรของเหล็กไหล

เนื่องจากเหล็กไหลประกอบไปด้วยธาตุเหล็กเป็นสำคัญ จึงต้องการสิ่งที่มีความแข็งแกร่งพอสมควรที่จะเข้าไปยึดเกาะเป็นที่อยู่อาศัยเพื่อ สร้างอาณาจักรหรือรังขึ้นมา เฉกเช่นสัตว์โลกทั่วไปที่ จำเป็นต้องมีที่อยู่อาศัย เพื่อขยายเผ่าพันธ์มีลูกมีหลานสืบต่อไปในภายภาคหน้า

ดังนั้นโครงสร้างของอาณาจักรส่วนใหญ่จึงยึดเอาสิ่งที่มีธาตุเหล็กเป็นหลัก เพราะจะได้อาศัยการกินธาตุเหล็กเป็นอาหาร เพื่อเป็นการตั้งธาตุและปรับธาตุของตนเองให้เกิดความสมดุลย์ได้ง่ายขึ้น เนื่องจากธาตุเหล็กเป็นธาตุดังเดิมที่มีอยู่ในพื้นภิภพและพื้นผิวโลกมาตั้งแต่การกำเ
นิดของโลกก็ว่าได้

ธาตุเหล็กจึงมีโอกาสดึงดูดและสะสมพลังงานต่าง ๆ ที่มีอำนาจมาไว้ในตนเองค่อนข้างมากและเป็นเวลานาน ทำให้เหล็กไหลมีอิทธิฤทธิ์เพิ่มพูนขึ้น และเมื่อมีการกินธาตุเหล็กเข้าไปมาก ก็ย่อมมีการขับถ่ายของเสียออกมาหรือของเหลือออกมา กลายเป็น ?ขี้เหล็กไหล? ซึ่งมีลักษณะเหมือนเหล็กที่ผุตัวลงไป ไม่มีความแข็งแกร่งเหมือนกับตัวเหล็กไหล หรือ โคตรเหล็กไหล

แต่เหล็กไหลบางประเภทที่อาจจะมีผิวพรรณวรรณะไปทาง ธาตุกายสิทธิ์ คล้ายแก้วหรือหินย่อมจะสร้างรังหรืออาณาจักรที่แตกต่างกันไป ส่วนใหญ่จะเป็นเทพผู้รักษาในระดับชั้นพรหมที่ละเว้นจากเรื่องกาม เช่น มหาฤาษีผู้เพ่งฌาณสร้างธาตุกายสิทธิ์ หรือ กลั่นกรองธาตุเหล่านั้นจนใสเป็นแก้วแตกต่างกันไปตามบารมี ชอบจะอาศัยอยู่ในโพรงหินที่เป็นแก้วสีที่แตกต่างกันออกไป หากดูภายนอกจะไม่ทราบเลยว่า ภายในก้อนหินเหล่านั้นจะมีธาตุกายสิทธิ์เหล็กไหลซ่อนอยู่ภายใน

รังของเหล็กไหล
ความหมายของ ?รังเหล็กไหล? ย่อมหมายถึงลักษณะของถิ่นที่อยู่หรือโครงสร้างที่อยู่อาศัยนั้นเอง เหล็กไหลบางประเภทที่จำเป็นต้อง สร้างอาณาจักรนั้น ลักษณะของรัง จะเหมือนรังผึ้ง้ มีท่อ มีรู เชื่อมโยงอยู่ภายใน เหมือนเป็นเส้นทางเชื่อมโยงติดต่อซึ่งกันและกัน โดยมีการแบ่งสัดส่วนเป็นห้องเป็นหับ เหมือนสัตว์โลกทั่วไป เพื่อใช้เป็นห้องพักของตนเอง ห้องพักของตัวอ่อน ลูก ๆ ที่เกิดขึ้นก็จะฟักตัวเองอยู่ในโพรง หลายตัวต่อโพรงก็มี

รังของเหล็กไหลเหล่านี้มักจะอยู่ภายในถ้ำคูหาต่าง ๆ พ่อแม่ก็อาจจะแสวงหาอาหารจากแร่ ธาตุและธาตุอื่น ๆ ที่มีฤทธิ์อำนาจและพลังบารมีสูง เพื่อให้ตัวอ่อนมีความแก่กล้าและแข็งแรงเติบใหญ่ขึ้น พร้อมกับเรียนรู้สภาวะต่าง ๆ ไปพร้อมกัน

จากตัวเล็กขนาดเท่าปลายเข็ม ก็ขยายใหญ่ขึ้นไปเรื่อย ๆ จนถึงขนาดไข่ปลาดุก ไข่กบ เม็ดถั่วเขียว เม็ดถั่วลิสง เชื่อกันว่าเม็ดเหล็กไหลขนาดเล็กเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีฤทธือำนาจมากขึ้นเท่านั้น เพราะหากมีเหตุเภทภัยอันใดจะมาถึงตัว ก็จะใช้ฤทธิ์ทั้งหมดในทีเดียว

ดังนั้นจึงเป็นที่เชื่อถือในหมู่ผู้ปฏิบัติจนได้ถึง เจโตรปริยญาณว่า ตัวเหล็กไหลที่แท้จริงนั้น ก็ คือตัวลูก ๆ ที่ยังเล็ก ๆ อยู่ หรือเพิ่งเป็นอิสระหลุดตัวเองออกมาจากญาณพ่อญาณแม่ของมัน

เหล็กไหลบางประเภท ก็จะมีสิ่งปกป้องคุ้มครองจากเหล่ายักษ์ คนธรรพ์ นาค วิทยาธร ให้ความอารักขา เนรมิตสิ่งบดบังคุ้มครองหรือปกปิดให้ เช่น ?แก้วขนเหล็ก? ที่เป็นเหมือนขนโลหะที่มี ความคมและแข็งห่อหุ้ม เหล็กไหลไว้ภายในโดยรอบ

เหล็กไหลบางประเภท ก็จะมีสิ่งห่อหุ้มที่เกิดขึ้นมาจากธรรมชาติ ปกป้อง หรือ เป็นที่หลบซ่อนฝังตัวของเหล็กไหล ไม่ให้ปรากฏเป็นที่สนใจของผู้ที่มีเจตนาที่ไม่ดีได้พบเห็น มีลักษณะแตกต่างกันไป บางอย่างก็นิ่มคล้ายขี้ผึ้ง แต่พอโดนอากาศภายนอกนาน ๆ ก็จะแข็งตัว บางอย่างคล้ายแก้วสี ขุ่น ๆ ห่อหุ้มตัวไว้ มากบ้างน้อยบ้างแล้วแต่เหตุปัจจัย

คุณสมบัติของผู้ครอบครองเหล็กไหล

เหล็กไหลจะอยู่กับผู้มีบุญเท่านั้น ผู้มีบุญในที่นี้หมายถึง ผู้ประพฤติชอบด้วย กาย วาจา ใจ ไม่คิดเบียดเบียนผู้อื่น ยึดมั่นในศีล 5 พรหมวิหาร 4 ผู้ละแล้วเสียซึ่ง ความโลภ โกรธ หลง เหล็กไหลเมื่อมีความยินดีจะอยู่คุ้มครองให้กับผู้ใดก็จะอยู่ด้วยตลอดไป เว้นแต่ผู้นั้นจะมีจิตใจที่เปลี่ยนไปในทางอกุศล เหล็กไหลก็อาจหายไปทันที

ดังนั้นผู้ครอบครองเหล็กไหล จึงควรมีคุณสมบัติดังนี้

1.บุญวาสนาและบารมี ที่ประกอบไปด้วยสัมมาทิฐิ เป็นคนดีมีศีลธรรม

2.มีความเชื่อมั่นและศรัทธาในธาตุกายสิทธิ์นี้

3.มีความปรารถนาอยากได้อย่างแรงกล้า

แท้จริงแล้วผู้ที่จะเกี่ยวข้องกับเหล็กไหล ซึ่งเป็นธาตุกายสิทธิ์ที่มีทั้งบุญฤทธิ์และอิทธิฤทธิ์แล้ว จะต้องมีบารมีรองรับพอเพียง มิฉะนั้นเหล็กไหลจะหนีกลับไปสู่เจ้าของเดิม หรือ ผู้ที่มีบารมีสูงพอ ดังนั้นถ้ามีเงินแต่ไม่มีคุณธรรม ก็อย่าหมายว่าจะซื้อได้

ท่านทั้งหลายได้ลองพิจารณาตนเองในส่วนนี้แล้วหรือยัง ในการที่จะเข้าไปเกี่ยวข้องกับเหล็กไหล เพราะเหล็กไหลทุกประเภท ล้วนแต่ยอมอุทิศตนเพื่อเสริมสร้างบารมีธรรมให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไปจนถึงมรรคผลนิพพาน จึงยอมอุทิศตนทั้ง ร่างกายคือธาตุขันธ์ และจิตวิญญาณ ในการสืบพระศาสนาให้มั่นคงสถาพรตราบนานเท่านาน

อาหารของเหล็กไหล

เนื่องจากผู้บำเพ็ญฌาณในระดับสูงและผู้สร้างเหล็กไหลในอดีต ล้วนแต่อาศัยตามเงื้อมผาและถ้ำคูหา เป็นที่บำเพ็ญพรตภาวนา มักจะถือศีล 8 กินพืชผักผลไม้เป็นอาหารหลัก อาหารเสริมพิเศษที่ทำให้เกิดกำลังก็ คือ น้ำผึ้งป่า

ดังนั้นเหล็กไหลเกือบทุกประเภทก็ชมชอบที่จะเสพน้ำผึ้งเช่นกัน เพราะน้ำผึ้งเกิดจากความหวานของเกษรดอกไม้ต่าง ๆ ที่ผึ้งนำมาเก็บไว้ในรัง บางทีก็บินไปสร้างที่อยู่ใหม่ทิ้งรังเก่าไว้ตามคบไม้ หรือหน้าผา เมื่อเหล็กไหลมีจิตวิญญาณขององค์ฤาษีหรือเทพผู้สร้างสิงสถิตย์อยู่ จึงนิยมที่จะเสพน้ำผึ้งเช่นกัน>>

หลวงพ่อสัมฤทธิ์กับการค้นหาเหล็กไหล

เมื่อท่านได้รู้จัก?เหล็กไหล?ดีแล้ว ก็จะได้ดำเนินเรื่องราวเกี่ยวกับ หลวงพ่อสัมฤทธิ์และเหล็กไหลวัดถ้ำแฝดสืบไป

ภายหลังจากหลวงพ่อเดินทางกลับจากประเทศลาวแล้ว ก็ออกธุดงค์ไปทั่ว เพื่อฝึกฝนจิตใจให้มีความเข้มแข็ง เช่น เขาฉกรรจ์ จังหวัดปราจีนบุรี เขาใหญ่ นครราชสีมา เขาเขียว ชัยภูมิ เขาค้อ เพชรบูรณ์ เลยไปถึง ลำปาง เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน

ณ ที่จังหวัดลำปางนี้เอง หลวงพ่อสัมฤทธิ์ได้พบกับ พ่อเลี้ยงรัศมี คหบดีผู้กว้างขวางในจังหวัดลำปางและเชียงใหม่ เป็นผู้ที่มีความสนใจในเรื่องราวของเหล็กไหล และของกายสิทธิ์อื่น ๆ เมื่อรู้ว่าหลวงพ่อสัมฤทธิ์มีความเชี่ยวชาญในเรื่องราวเกี่ยวกับเหล็กไหล ก็ได้ชวนให้ท่านช่วยหาเหล็กไหลให้ โดยเป็นผู้ปวารณาในเรื่องภาระค่าใช้จ่ายทั้งหมด โดยได้พาไปในสถานที่หลายแห่งที่เล่าลือว่ามีเหล็กไหล แต่ก็เป็นเพียงข่าวลือ ไม่ได้พบเหล็กไหลตามที่ตั้งใจ

ปรากฏการณ์ประหลาด

เรื่องนี้เกิดจากการแสวงหาเหล็กไหลกับพ่อเลี้ยงรัศมี เดินรอนแรมในป่ามาถึงเขตดอยอินทนนท์ จังหวัดเชียงใหม่ ได้พบสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งคิดว่าน่าจะมีเหล็กไหลอยู่ จึงได้จัดเครื่องบวงสรวงเจ้าป่าเจ้าเขา เทพผู้รักษาองค์เหล็กไหล

ขณะที่กำลังทำพิธีอยู่นั้น ท้องฟ้าได้เปลี่ยนเป็นมืดครึ้มโดยฉับพลัน มีเสียงฟ้าผ่าเปรี้ยงมายังสถานที่แห่งหนึ่ง ซึ่งอยู่ห่างจากบริเวณทำพิธีเล็กน้อย เสียงดังสนั่นแสบแก้วหู ทำให้ทุกคนตกตะลึงในเหตุการณ์เฉพาะหน้าเป็นอย่างยิ่ง ด้วยไม่รู้เหตุเภทภัยอันใดที่ปรากฏต่อหน้าในขณะนั้น

หลวงพ่อได้พิจารณาแล้วเห็นว่า ชะรอยคงเป็นสิ่งบอกเหตุบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับการเสาะแสวงหาของกายสิทธิ์เป็น แม่นมั่น จึงได้ชวนญาติโยมไปพิสูจน์อะไรบางอย่างที่ท่านแคลงใจ โดยเดินไปยังจุดที่ฟ้าผ่าลงมา ณ ที่นั้นทุกคนได้เห็นวัตถุสีดำก้อนประมาณ 2-3 นิ้วเศษ สีดำสนิท เนื้อในดูเงาวาว ขณะที่กำลังหาเหตุผลอยู่นั้น ฉับพลันได้ยินเสียงช้างร้อง พร้อมกับปรากฏกายอันสูงใหญ่รี่ตรงมายังที่อยู่ของหมู่คณะ

เท่านั้นแหละตัวใครตัวมัน ต่างคนก็ตกใจคิดหนีเอาตัวรอด หลวงพ่อเองก็คาดไม่ถึงว่า จะมีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น อาศัยที่เป็นพระกรรมฐาน มีสติไม่ตกใจอะไรง่ายนัก ได้กำหนดจิตแผ่เมตตาและชูเจ้าหินประหลาดสีดำนั้นไปทางช้างที่กำลังวิ่งรี่เข้ามา

เหลือเชื่อทีเดียว ทำให้ช้างร้ายตัวนั้นหยุดชะงักอยู่กับที่พร้อมกับจ้องมองมาทางท่านถมึงทึงสักครู่เดี
ยวช้างนั้นก็เดินเลี่ยงหลบออกไปทางอื่นทันที เสียงถอนหายใจอย่างโล่งอกจากคณะค้นหาที่เห็นเหตุการณ์โดยตลอด แต่ไม่กล้าแสดงตนออกมาช่วย

พ่อเลี้ยงรัศมีเป็นคนแรกที่วิ่งมาถึงตัวท่าน พร้อมกับขอชมเจ้าสิ่งประหลาดที่ทำให้ช้างเปลี่ยนใจหนีไปทางอื่น หลวงพ่อบอกว่าเจ้าสิ่งที่ท่านได้พบตอนฟ้าผ่านั้นกลับเป็น ?สะเก็ดดาว? หรือ อุกกามณี ที่เราถือว่าดีเด่นทางโชคลาภ แคล้วคลาดกันภัย ปลุกเสกดี ๆ ก็เป็นมหาอุด น้อง ๆ เหล็กไหลเหมือนกัน

ดังนั้นพ่อเลี้ยงรัศมีจึงได้เอ่ยปากขอสิ่งที่เห็นนี้จากหลวงพ่อทันที ซึ่งท่านก็ยินยกให้ ด้วยไม่ได้ติดในเรื่องราวเหล่านี้อยู่แล้ว อีกประการหนึ่งพ่อเลี้ยงรัศมีก็เป็นเจ้าภาพในการเสาะแสวงหาของกายสิทธิ์ประเภทนี้ อยู่แล้ว ก็เลยไม่ได้ค้นหาเหล็กไหลต่อไป ด้วยปรากฏปาฏิหารย์ขึ้นมาก่อน จึงเห็นว่าไม่สมควรจะทำพิธีต่อไป

อัญเชิญเหล็กไหลก้อนแรก

หลังจากแยกทางกับพ่อเลี้ยงรัศมีแล้ว ท่านก็ธุดงค์ลงทางใต้ จากกาญจนบุรีล่องลงไปด้วยเท้า จนถึงบางสะพาน ปะทิว ชุมพร ซึ่งเต็มไปด้วยเทือกเขายาวเหยียดไปจนติดพม่า และที่บางสะพานนี้เองท่านเล่าว่าได้มาถึงสถานที่แห่งหนึ่ง เรียกกันว่า ?เกาะยายฉิม?

ณ สถานที่นี้เป็นฐานของ ตชด.อยู่ลึกจากถนนใหญ่ 2-3 กม. ได้พบน้ำตกแห่งหนึ่งปลาชุกชุมมาก ท่านได้สังเกตุเห็นหน้าผาแห่งหนึ่งดูแปลกในความรู้สึก จึงได้แหวกหญ้าเข้าไปใกล้บริเวณหน้าผาดังกล่าว พบว่ามีงูชุกชุม เมื่อพิจารณาหาสถานที่พอเหมาะที่จะปักกลดได้ จึงได้ปักกลดในบริเวณนั้น 3 วัน

ในวันสุดท้ายขณะที่ท่านนั่งกรรมฐานอยู่ประมาณ 2 ชั่วโมงเศษ รู้สึกได้ยินเสียงวัตถุบางอย่างตกอยู่ใกล้ ๆ กลด ท่านจึงได้คลายสมาธิออกดู ฉับพลันสายตาก็กระทบเข้ากับวัตถุมันดำวาวขนาดนิ้วก้อยจำนวน 2 เม็ดตกอยู่ใกล้ ๆ กลด จึงได้หยิบมาพิจารณาก็ทราบว่าเป็น ?เหล็กไหล?ที่เทพผู้รักษาได้มอบให้

ดังนั้นพอรุ่งเช้าหลังรับบิณฑบาตรจาก ตชด. แล้ว ก็ได้นำเอากลับมาฉันที่กลดขณะเดียวกัน ตชด.ก็ได้นำเอากับข้าวมาเสริมให้หลวงพ่อ โดยสนทนาเรื่องราวต่าง ๆ ว่าหลวงพ่อมาปักกลดที่นี่ ได้เห็นนิมิตอะไรที่ดี ๆ บ้างไหม จำได้ว่า ร.ท.อำไพกับลูกน้อง 2-3คน เป็นเพื่อนร่วมสนทนาด้วย

ท่านจึงได้นำเอาสิ่งที่ท่านพบมาให้ดู คณะ ตชด. เห็นแล้วก็ขนลุกซู่ทันที จึงขออนุญาตทดลองต่อหน้าท่าน โดยใช้อาวุธปืนคาร์บินส์ เล็งยิงระยะห่างเพียง 3 เมตรเท่านั้น ปรากฏว่ายิงไม่ออก แต่พอหันปากกระบอกขึ้นฟ้าเสียงก็ดังเปรี้ยงทันทีเหมือนกัน พอเห็นผลดังนั้น ร.ท.อำไพและเหล่า ตชด.ก็ได้ขอเอาไว้โดยไม่ฟังเสียงว่าจะให้หรือไม่ ถือสิทธิเป็นกรรมสิทธิ์ของตนเองทันที

ท่านก็ไม่ได้ว่าอะไร เมื่ออยากได้ท่านก็ให้ด้วยเมตตา เพราะสิ่งเหล่านี้ถือเป็นทางผ่าน เป็นประสพการณ์ที่เหลือเชื่อเรื่องหนึ่งเช่นกัน เพราะท่านบอกว่า สมัยนั้นยังไม่มี ใครรู้จัก ?เหล็กไหล?ที่ว่ากันนัก ราคาซื้อขายก็ไม่กี่หมื่นบาท

การค้นหาเหล็กไหล

การค้นหาเหล็กไหลไม่ใช่ของง่าย เนื่องจากไม่มีเครื่องมือจะตรวจค้นโดยวิธี ทางวิทยาศาสตร์ได้ แถมบางทียังไม่เคยเห็นหน้าตาของเหล็กไหลมาก่อนว่าเป็นอย่างไร

ดังนั้นในที่นี้ จึงขอกล่าวสรุปพอเป็นสังเขป เพื่อเป็นแนวทางให้ท่านพิจารณาดังนี้

1.ตามตำรา บูรพาจารย์ผู้รู้ในอดีต ได้บอกกันต่อ ๆ มาว่า ถ้าจะหาเหล็กไหลแล้วให้สังเกตุถ้ำที่จะเข้าไปหานั้นว่ามีลักษณะเช่นนี้หรือไม่ ?

1.ถ้ำนั้นต้องสะอาด ไม่มีมูลค้างคาวหรือมูลสัตว์ป่าใด ๆ

2.ถ้ำนั้นต้องมีอากาศเย็นชุ่มชื้น

3.ถ้ำนั้นต้องสงบเงียบวังเวง มีความรู้สึกน่าเกรงขาม

2.คำบอกเล่า อาจจะได้ยินได้ฟังจากพรานป่าที่มีประสพการณ์แปลก ๆ หรือจากพระธุดงค์ที่พบเห็น

3.การเข้าทรง จากการประทับทรงขององค์เทพเทวาที่บอกผ่านมา

4.การเกิดนิมิต จากการนั่งกรรมฐานจนจิตรสงบ แล้วเกิดภาพนิมิตรสถานที่ หรือมีผู้พาไปชม

5.จิตสงบ จากสภาวะจิตที่สงบ จนเกิดญาณหยั่งรู้ขึ้นมาเอง

การทดสอบเหล็กไหลในถ้ำ

เมื่อพบถ้ำที่มีลักษณะดังกล่าวข้างต้น หรือพบแหล่งที่พอเชื่อได้ว่าจะมีเหล็กไหลอยู่แล้ว ก็ควรจะมีวิธีการทดสอบเพื่อให้เกิดความมั่นใจว่า จะไม่ผิดหวังหรือเสียเวลาค้นหา มักจะใช้ปืนลองยิงดูในบริเวณที่คิดว่าน่าจะมีเหล็กไหลซ่อนอยู่ ถ้าเล็งไปแล้วยิงไม่ออกก็มั่นใจได้ว่า มีเหล็กไหลอยู่ในบริเวณนี้แน่นอน

เมื่อมั่นใจว่าพบแหล่งที่อยู่ของเหล็กไหลแน่นอนแล้ว ก็เป็นเรื่องพิธีกรรมที่จะทำพิธี ?อัญเชิญเหล็กไหล? ออกมา โดยการบวงสรวง หรือ อธิษฐานจิต ขอเอาจากเจ้าป่า เจ้าเขา เจ้าถ้ำ หรือ เทพผู้รักษาองค์เหล็กไหลแล้วแต่กรณี

เผ่าพันธุ์ของเหล็กไหล

เหล็กไหลเป็นโลหะธาตุที่มีความลี้ลับพิสดาร แปลกประหลาดมหัศจรรย์แตกต่างไปจากโลหะธาตุทั้งปวง จึงได้ถูกจัดอยู่ในฐานะ ?ธาตุกายสิทธิ์? ที่มีชีวิตจิตวิญญาณ ซึ่งเป็นไปตามวิบากของกฏแห่งกรรม ที่บันดาลให้วิญญาณในสังสารวัฏมาปฏิสนธิ ในสภาวะที่เป็นโลหะธาตุที่ศักดิ์สิทธิ์มี อิทธิฤทธิ์เหนือธรรมชาติทั่วไป

ดังนั้น ?เหล็กไหล? จึงถือเสมือนหนึ่งเป็น ?สัตว์โลกที่มีชีวิต? เผ่าพันธุ์หนึ่งในโลก เพราะเหล็กไหลมีทั้งตัวผู้และตัวเมีย สามารถเคลื่อนไหวได้ เสพบริโภคน้ำผึ้งเป็นอาหาร มีการขับถ่ายออกมาได้ ซึ่งเรียกกันว่า ?ขี้เหล็กไหล? นอกจากนี้ยังสามารถเสพกามได้ แต่เป็นการเสพกามกันทางกระแสจิตวิญญาณ เพราะเพียงแต่มีความรู้สึกใคร่ในกามารมณ์ ก็สามารถบรรลุจุดสุดยอดได้ในทันที โดยไม่ ต้องมีการถูกต้องสัมผัสกัน และชอบพักผ่อนหลับนอนในสถานที่สงบตามถ้ำ

เหล็กไหลจึงจัดเป็นสัตว์ที่ประเสริฐเผ่าพันธ์หนึ่งของโลก จัดอยู่ในจำพวกเทพ แต่เป็นเทพที่ มาชดใช้วิบากกรรมในโลกมนุษย์ ดังนั้นจึงทำให้มีพวก ยักษ์ คนธรรพ์ ครุฑ นาค คอยให้ความอารักขาอีกทีหนึ่ง เหล็กไหลจึงมีถิ่นกำเนิด และบารมีที่แตกต่างกันไป ตามเผ่าพันธ์และวรรณะ ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะ และสมมุติเรียกหาเพื่อให้เห็นความแตกต่างชัดเจนขึ้นเท่านั้น เช่น


1.เหล็กไหลโกฎฐ์ปี เป็นเหล็กไหลที่หาได้ยากมาก สีปีกแมลงทับ จะออกเขียวเข้มหรือฟ้าสดใส หรือเปลี่ยนเป็นสีท้องปลาไหล เป็นเงามันวาวเนียนละเอียด เพราะถ้าเคยเห็นปีกแมลงทับ คงจะสังเกตุเห็นสีสันดังกล่าวที่ประกอบไปด้วยสีสองสี สวยงาม ชอบอยู่ในถ้ำที่ลี้ลับลึกลับและสงบวิเวก เพื่อบำเพ็ญฌาณ เหมือนฤาษีที่มีอายุยืนหมื่น ๆ ปี มีความเย็นเหมือนน้ำในฤดูหนาว กล่าวกันว่าเป็นเหล็กไหลที่เกิดจากมหาฤาษีในยุคต้น ๆ เป็นผู้สร้างไว้มีอำนาจทำลายอาถรรพณ์เวทย์ทุกชนิดให้สูญสิ้นเป็นสุญญตา ใครฝังติดตัวไว้รับรองไม่มีตายโหง ซ้ำยังเรียกเงินเรียกทองให้ไหลมาเนืองนอง เป็นเศรษฐีมหาเศรษฐี มีเสน่ห์ เมตตามหานิยม เข้าไปในสถานที่ใดมีแต่คนชอบรักใคร่ นอกจากนี้ยังป้องกันคุณไสยที่เขาทำมา ให้ตี กลับไปหาผู้ทำถึงชักดิ้นชักงอตายเอาง่าย ๆ ชอบดูดกินน้ำผึ้งและเล่นกับไฟ ล่องหนหายตัวได้ ใครได้ครอบครองจะมีอายุไม่ต่ำกว่าร้อยปี ถ้าบำเพ็ญฌาณ เช่น ฤาษี มุณี ที่ชอบบำเพ็ญธรรมอยู่ในป่า จะทำให้อายุ ยืนถึงหมื่นปี โกฏฐ์ปี

2.เหล็กไหลไพร เป็นเหล็กไหลที่พอหาได้โดยไม่ยากลำบาก สีดำสนิทหรือเทาดำ เนื้อค่อนข้างหยาบไม่มันวาว ยืดได้หดได้ ชอบเล่นกับไฟ แต่ถ้าทำหลุดมือตกลงสู่พื้นดินจะหายวับไปทันที คล้ายกับปรอทสำเร็จที่ถูกพวกยักษ์หรือคนธรรพ์ผู้รักษาช่วงชิงกลับไป ดีเด่นทางเมตตาโชคลาภ แคล้วคลาดกันภัย เกิดจากเทพในระดับต่ำลงมาใช้กรรม มีทั้งที่ แม่เหล็กดูดติดและแม่เหล็กดูดไม่ติด ขึ้นอยู่กับถิ่นกำเนิดและแร่ธาตุ ในบริเวณดังกล่าว ถ้ามีธาตุเหล็กมาก ก็จะติดแม่เหล็ก

3.เหล็กไหลเงินยวง เป็นเหล็กไหลที่หาได้ค่อนข้างยาก สีขาวขุ่นเป็นมันเลื่อม สีเหมือนเงินยวง พบได้ตามถ้ำที่มีอากาศค่อนข้างหนาวเย็น มีคุณธรรมทางด้านเมตตามหานิยม คงกระพันชาตรี แคล้วคลาดและล่องหนหายตัวได้ ชอบช่วยเหลือผู้ปฏิบัติธรรม หรือดลจิตดลใจของผู้ครอบครองเหล็กไหลนี้ตั้งมั่นอยู่ในการสร้างบุญกุศล เกิดจากเทพในระดับ ?อรูปฌาณ? ที่มีบารมีธรรมสูงเป็นผู้ครอบครองเหล็กไหลประเภทนี้ มักจะอยู่ในครอบครองของพวกนักบวชต่าง ๆ

4.โคตรเหล็กไหล (เหล็กไหลงอกหรือเหล็กทรหด) เป็นเหล็กไหลที่มีปรากฏอยู่ค่อนข้างมาก สีดำสนิทเป็นมันเลื่อมเมื่อกระทบแสงสว่าง ผิวค่อนข้างละเอียด แม่เหล็กดูดไม่ติดพบเห็นได้ตามถ้ำที่ ลึกลับ เกิดจากเทพที่มาใช้วิบากกรรมในโลกนี้ จึงมีพวกเทพที่เป็นยักษ์ หรือ คนธรรพ์คอยให้ความอารักขา ไม่ยืดหรือหดได้อีก แม่เหล็กดูดไม่ติด แต่ชอบกินน้ำผึ้ง สามารถงอกโตขึ้นเอง บางทีหากเจ้าของบูชาให้ดี จะเปลี่ยนเป็นสีดำอมเขียว ไปจนถึงเป็นสี รุ้ง ๗ สี ดีทั้งเมตตา โชคลาภ แคล้วคลาดกันภัย มหาอุด คงกระพันถอนพิษสัตว์เขี้ยวงาต่าง ๆ งอกขึ้นอยู่ตามพื้นถ้ำและผนังถ้ำที่มีความชื้นและเย็นพอสมควร สามารถนำมาแกะหรือเจียรนัยเป็นเครื่องรางหรือรูปวัตถุ มงคลตามต้องการ

5.เหล็กไหลย้อย เป็นเหล็กไหลที่ปรากฏอยู่ค่อนข้างมาก สีออกดำหรือเทาดำ ด้านไม่มีแวว เปราะและกรอบเหมือนเหล็กผุ เป็นเหล็กไหลที่ ตายซากแล้ว ไหลย้อยอยู่ในซอกถ้ำที่ลี้ลับ ลักษณะแข็งกรอบ ยาวเป็นศอกเป็นคืบเป็นวา ไม่ยืดหรือหดได้อีก ไม่กินน้ำผึ้ง แม่เหล็กไม่ดูด เกิดจากได้มีการเคลื่อนย้ายแหล่งหาน้ำผึ้งไปในสถานที่ ใหม่ซึ่งอยู่ห่างไกลออกไปมาก ธาตุขันธ์เดิมจึงถูกทิ้งไว้ เหมือนไม่มี ชีวิตจิตวิญญาณ คือเหลือแต่ซากนั่นเอง บางทีมีอสูรกายชอบถือโอกาสเข้าแอบแฝงอาศัยอยู่ เกจิอาจารย์ที่มีกฤตยาคมสูงสำเร็จอัปปนาสมาธิพลังจิตแก่กล้า มักจะนำมาปลุกเสกให้เกิดอานุภาพ เมตตามหานิยม แคล้วคลาดคงกระพัน จนถึงมหาอุดเลยที เดียว แต่ถ้านำมาหลอมละลายด้วยไฟอาคมจะกลายเป็นของเหลวสีดำมันวาวเหมือนนิล หล่อหลอมเป็นพระพุทธรูป เครื่องรางต่าง ๆ ได้ดี มี อานุภาพทางโชคลาภ แคล้วคลาดคงกระพันชาตรี ทำลายอาถรรพณ์ทุกชนิด หากบูชาให้ดีจะเปลี่ยนเป็นสีต่าง ๆ ได้หลายสีตามบารมีของผู้บูชา

6.เหล็กไหลเพลิง เป็นเหล็กไหลที่พอหาได้ไม่ยาก พบอยู่ในถ้ำต่าง ๆ หลายแห่ง ฝังตัวเองอยู่ตามเพดานและผนังถ้ำที่มีลักษณะเหมือนผงฝุ่นละเอียด ออกสีแดงหรือน้ำตาล องค์ขนาดเมล็ดถั่วเขียวหรือใหญ่กว่า หากลองอธิษฐานจิตจับดูจะรู้สึกว่าร้อนเหมือนไฟ เชื่อว่าสามารถแสดงภาพมายาหลอกหลอน ทำให้ศัตรูตกใจกลัวได้

7. เป็นเหล็กไหลที่หาได้ยาก มีพรรณสัณฐานสีเขียวปนดำเป็นมันด้าน ลักษณะทรงกลมหรือรูปหยดน้ำ ขนาดเล็กกว่าถั่วเขียวเล็กน้อย ชอบเกาะอยู่ตามตาน้ำในซอกหินภายในถ้ำที่ลึกลับอาถรรพ์ การค้นหานอกจากวิชาอาคมแล้วยังต้องสังเกตุตามตาน้ำที่ไหลผ่านบริเวณหินผาที่มีตะไคร่
น้ำเกาะอยู่มาก ๆ ต้องค่อย ๆ เอามือแหวกหาดูจึงจะพบ


8.เหล็กไหลเศรษฐี เป็นเหล็กไหลที่หาได้ยากมาก อาศัยอยู่ภายในถ้ำใต้น้ำ มี ลักษณะเป็นผงเกล็ดสีดำเงามันระยิบระยับ เหมือนกับเพชรต้องแสงไฟ ไหลออกมาตามธารน้ำในฤดูน้ำหลาก เชื่อกันว่าเป็นของชาวบาดาล บันดาลโชคลาภให้แก่ผู้บูชา

9.เหล็กเปียก เป็นเหล็กไหลที่หาได้ยากมาก พรรณสัณฐาน สีขาวขุ่นเหมือนตะกั่ว นับเป็นโลหะธาตุที่มีเนื้อเปียกชุ่มชื้นอยู่ตลอดเวลา คล้าย ๆ กับน้ำค้างจับเกาะ เข้าไปอยู่ในสถานที่ใดก็จะเกิดบรรยากาศเย็นสบาย ถ้าอยู่ใกล้ลูกปืนอาจทำให้กระสุนด้านเพราะการแผ่รังสีความเย็นของเหล็กเปียก สมัยโบราณนิยมใช้เหล็กเปียกประดับไว้ที่ ยอดพระเจดีย์ ป้องกันฟ้าผ่า มีอานุภาพทางหนังเหนียว คงกระพันอาวุธทุกชนิด

10.ขี้เหล็กไหล มักจะปรากฏอยู่ในถ้ำหรือบริเวณที่มีเหล็กไหล เหมือนกับมูลหรือการขับถ่ายของเสียจากเหล็กไหล ลักษณะเป็นก้อนกลม ๆ สี ออกดำบ้าง น้ำตาลบ้าง ไม่สามารถยืดได้หดได้ แม่เหล็กดูดไม่ติด หากครูบาอาจารย์ผู้ทรงฌาณ ทำพิธีกรรมให้ถูกต้อง เฉกเช่นวัตถุ มงคลที่ถูกปลุกเสก ก็จะมีอานุภาพตามที่ ประสงค์

11.เหล็กไหลนาคราช หรือ เหล็กไหลบาดาล มักปรากฏอยู่ในลำแม่น้ำใหญ่ที่มีภูเขาสลับซับซ้อน เช่น แม่น้ำโขง แม่น้ำแยงซีเกียง แม่น้ำคงคา เป็นต้น เพราะต้นน้ำเหล่านี้มาจากภูเขาสูงที่ศักดิ์สิทธิ์ ลักษณะคล้ายก้อนหินมันเงาเป็นเลื่อม สีดำเหมือนนิล แม่เหล็กดูดติดเชื่อว่าป้องกันพิษสัตว์เขี้ยวงา แคล้วคลาด คงกระพัน

12.เพชรหน้าทั่ง จัดอยู่ในจำพวกธาตุกายสิทธิ์คล้ายเหล็กไหล พบได้ตามถ้ำบนเขาเจ็ดร้อยยอด จ.พัทลุง ลักษณะเป็นโลหะผลึก 4 เหลี่ยม สีเหลืองนวลออกขาวคล้าย ?แสตนเลส? ฝังตัวอยู่ในก้อนหิน เล็กบ้างใหญ่ บ้าง บางคนเรียก ?เหล็กสายฟ้า? อยู่ในตระกูล ?อัญมณี? ประกอบด้วยธาตุที่เป็นทองคำและแร่เงินผสมอยู่ด้วยกัน สีจึงออกเหลืองนวลอมทอง อมเงิน และหากโดนปฏิกิริยาทางเคมีก็จะกลายเป็นสีทอง มีฤทธิ์อำนาจในตนเองด้วยจิตวิญญาณอันศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ภายในธาตุโลหะนั้น โบราณเชื่อกันว่า เพชรหน้าทั่ง เป็นธาตุกายสิทธิ์ที่จะทำให้ ผู้ที่เป็นเจ้าของเกิดความร่ำรวย มักจะอยู่ในเขตที่มีสายแร่ทองคำภายใต้ภูเขาลูกนั้น

13.เหล็กหลบ จัดอยู่ในประเภทธาตุกายสิทธิ์คล้ายเหล็กไหล พบได้ตามแม่น้ำสายสำคัญของประเทศ เกิดจากการหมุนวนของแม่น้ำที่พัดพาเอาแร่ธาตุต่าง ๆ มารวมกันทับทมทวีจนเกิดการจับตัวเป็นก้อนกลม สีดำเป็นมัน สีเขียวอมดำ สีเปลือกมังคุดหรือน้ำตาลไหม้ สีทองดอกบวบ ไม่ชอบเล่นไฟหรือกินน้ำผึ้ง ปืนยิงออกแต่ไม่ถูก เด่นทางแคล้วคลาดกันภัยจากอันตรายรอบด้าน เช่น มีดรุมแทงก็จะไม่ถูก รังสีเหล็กหลบจะทำให้แฉลบออกไป หรือพกเหล็กหลบเข้าใต้ต้นพุดทรา แล้วเขย่าให้ลูกหล่นลงมา ก็จะไม่ถูกตัว

14.สะเก็ดดาว เหล็กไหลจากต่างดาว เชื่อกันว่ามีพลังมหัศจรรย์หลายอย่างแฝงอยู่ ในอุกกามณี เกิดจากการระเบิดของดวงดาวจากนอกโลกที่ผ่านบรรยากาศแล้วเกิดการลุกไหม้ก่อนตกลง สู่พื้นโลก มีขนาดตั้งแต่ขนาดก้อนกรวด จนใหญ่ขนาดก้อนหิน 10 กิโลกรัม ไม่กินน้ำผึ้ง หรือชอบเล่นไฟ แต่ดีเด่นทั้งด้าน เมตตา โชคลาภ แคล้วคลาด กันภัย

15.แก่นไม้หิน จัดอยู่ในตระกูล "พญาเหล็ก" คือไม้กลายเป็นหิน ฝรั่งเรียกว่า ?ฟอสซิล? จัดอยู่ในลูกหลานว่านเครือของเหล็กไหล เชื่อกันว่าเป็นที่ลงทัณฑ์ เหล่าอสูรเทพที่ดุร้าย เหมือนการ ?เข้ากรรม? เสวยกรรมในโลกมนุษย์ เพื่อไถ่บาป 1 พุทธันดร มีตบะเดชะทางด้านมหาอำนาจ แคล้วคลาดกันภัย เมตตาโชคลาภ กันพิษ

16.ข้าวตอกพระร่วง จัดอยู่ในตระกูล ?พญาเหล็ก? ชนิดหนึ่ง มีลักษณะเป็นผลึกรูปสี่เหลี่ยมเล็กใหญ่คล้ายโลหะสีน้ำตาลฝังตัวอยู่ใต้พื้นดินในเขต จังหวัดสุโขทัย ถ้านำมาขัดก็จะเปลี่ยนเป็นสีดำเหมือนนิลแวววาว ตามตำนานที่เล่าขานสืบทอดกันมาแต่ยุคสุโขทัย เมื่อพระร่วงเจ้าได้ออกผนวชในวันใส่บาตรเทโว บนลานวัดเขาพระบาทใหญ่ เมื่อฉันภัตตาหารเสร็จแล้ว ท่านได้โปรยข้าวที่เหลือจากก้นบาตรลงบนลานวัด แล้วอธิษฐานว่า ให้ข้าวตอกดอกไม้นี้กลายเป็นหินชนิดหนึ่ง และมีอายุยืนนานชั่วลูกชั่วหลาน เมื่อใครได้บูชาบนหิ้งพระหรือพกติดตัวก็จะอยู่ดีมีสุขและเจริญด้วยโภคทรัพย์นานาประก
าร ใช้ฝนน้ำมะนาวถอนพิษสัตว์เขี้ยวงาทุกชนิด อมไว้ในปากทำให้ชุ่มชื่นคอ

การอัญเชิญเหล็กไหล

เมื่อเราพอทราบลักษณะ สีสัน รูปทรง และเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับเหล็กไหลแล้ว ตอนนี้เราก็จะมาศึกษาถึงวิธีการอัญเชิญเหล็กไหลกัน เพื่อเป็นแนวทางในการศึกษาเรื่องธาตุกายสิทธิ์ที่เร้นลับนี้ต่อไป การที่เราจะได้เหล็กไหลมานั้น จะต้องประกอบไปด้วยบารมีพอสมควร ด้วยวิธีการเฉพาะและเมื่อได้พบสถานที่ที่คาดว่าน่าจะมีเหล็กไหลอยู่ควรจะ ดำเนินการอย่างไรถึงจะได้เหล็กไหลมาครอบครองโดยถูกวิธีและไม่มีอันตราย ซึ่งในที่นี้จะขอใช้คำว่า ?อัญเชิญเหล็กไหล? เพราะเหล็กไหลที่ จะได้มานั้นย่อมมี วิธีการและที่มาแตกต่างกันไปดังนี้

1.เหล็กไหลบารมี

2.เหล็กไหลตัด

3.เทพเทวาเป็นผู้มอบให้

4.แผ่บารมีทิ้งไว้ในเหล็กไหล เมื่อถึงเวลาต้องจุติ

เหล็กไหลบารมี

เหล็กไหลบารมี คือ เหล็กไหลที่เกิดขึ้นจากการทำพิธีอัญเชิญ ของผู้มีบารมีเพื่อขอความช่วยเหลือจากเทพพรหมผู้มีบุญฤทธิ์ ที่สั่งสมฤทธิ์อำนาจอยู่ในสภาวะที่เป็น ?ธรรมธาตุ? ได้มาช่วยเหลือมวลมนุษย์ และสืบพระศาสนาของสมณโคดมให้อยู่สถาพรต่อไปในภายภาคหน้า



พิธีกรรมในการอัญเชิญเหล็กไหลนี้ประเภทนี้ จะประกอบไปด้วยเครื่องบวงสรวงสังเวยที่ เป็นมังสวิรัติ หรือ ผลไม้ แต่บางครั้งวิญญาณที่เฝ้ารักษา เหล็กไหลในสถานที่นั้น มีทั้งเทพ ยักษ์ นาค คนธรรพ์ หรือภูติ ต่าง ๆ ปะปนกัน ก็ต้องทำพิธีพลีกรรมขอเอาเหมือนกัน จะต้องจัดอาหาร คาวหวานหลายอย่าง

การอัญเชิญเหล็กไหลจะต้องใช้ คาถาอัญเชิญ เหล็กไหลโดยเฉพาะ เท่านั้น และจะต้องมี คุณธรรมที่ได้สะสมมานาน เป็นบารมีเฉพาะตัว จึงมีแต่คำพูดที่ไพเราะเท่านั้นจึงจะอัญเชิญเหล็กไหลให้ออกมาได้ เพราะ ?เหล็กไหล? มีอานุภาพเหนืออาคมทั้งปวง ไม่มีอาคมของผู้ใดจะบีบบังคับให้เหล็กไหลยอมจำนนได้ มีแต่คำเชิญที่ไพเราะถูกต้องเท่านั้น จึงจะได้เหล็กไหล ดังนั้นคาถาอัญเชิญกับคาถาอาคมด้วยพระเวทย์จึงมีความแตกต่างกันในเจตนา

เวลาที่เหล็กไหลจะเสด็จออกมานั้นเอาแน่นอนไม่ได้ ขึ้นอยู่กับบารมี บางครั้งไม่กี่นาทีเหล็กไหลก็ปรากฏตนให้เห็น บางครั้งครึ่งวันหรือค่อนคืนจึงเสด็จออกมาก็มี เมื่อพบเห็นแล้วก็ต้องใช้ คาถา เอามือจับเหล็กไหลมาไว้เคารพบูชา

เหล็กไหลจากถ้ำเขาหลวง

พระอาจารย์สิทธา เชตวัน ได้เคยเล่าถึงพิธีกรรม ?อัญเชิญเหล็กไหล? ที่แตกต่างจากพิธี กรรมที่เคยพบมาว่า อาจารย์เสือ เพชรสังฆาต เป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ จังหวัดนครสวรรค์ อดีตเคยเป็นนักเลงใหญ่และเสือปล้นมาก่อน แต่ได้เลิกอาชีพโจรมาเป็นอาจารย์ไสยศาสตร์ผู้มีชื่อเสียงที่รู้จักกันดี ในวงการเหล็กไหล ประพฤติตนอยู่ในศีลในธรรม สงเคราะห์ช่วยเหลือผู้คนด้วยเมตตาธรรม จนเป็นที่เคารพรักใคร่นับถือของคนในหลายวงการ รวมทั้งอดีตรัฐมนตรีบางคนก็เคยได้รับ ?เหล็กไหล? จากมือของอาจารย์เสือมาแล้ว

เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา อาจารย์เสือ เพชรสังฆาต ได้ทำพิธีกรรมอัญเชิญเหล็กไหลครั้งสำคัญที่ถ้ำเขาหลวง จังหวัดเพชรบุรี มีลูกศิษย์ลูกหาที่เป็นทั้ง ทหาร ตำรวจ และรัฐมนตรีเข้าร่วมพิธีหลายคนจนเป็นข่าวเกรียวกราวในวงการเหล็กไหล เพราะได้พบเห็นความมหัศจรรย์ประจักษ์แก่สายตาตนเองพร้อมกันในวันนั้น

วัตถุธาตุกายสิทธิ์ที่ได้ทำพิธี ?อัญเชิญ? ในครั้งนั้น อาจารย์เสือไม่ได้เรียกว่า ?เหล็กไหล? แต่ได้เรียกว่า ?พญาเหล็ก? หรือ ?นางพญาเหล็ก? หรือ ?เจ้าแม่ทองธรรมชาติ? เนื่องจากสิ่งที่ทำพิธีอัญเชิญในครั้งนี้ เกิดจากวัตถุธาตุกายสิทธิ์ที่ล่องลอยอยู่ในอากาศ อาจารย์เสือได้ใช้ พระเวทย์เรียกให้ธาตุเหล่านั้นมารวมตัวกันเข้าเป็นวัตถุธาตุกายสิทธิ์ สีดำดั่งนิล มีอานุภาพทางคงกระพันชาตรีเป็นมหาอุด รวมทั้งเมตตามหานิยม เรียกโชคลาภมาสู่เจ้าของผู้ครอบครอง

แต่เป็นที่น่าเสียดายว่า หนังสือพิมพ์ ?มติชน? รายวัน ฉบับวันพุธที่ 24 มีนาคม 2536 หน้า 29 ได้ลงพาดหัวข่าวว่า ?ล้อมจับมือปืนเฒ่าคว้าน้ำเหลว? บรรยายเนื้อข่าวว่า

"เมื่อเวลา 16.30 น. วันที่ 22 มีนาคตม ร.ต.อ.ปฐมพงษ์ เพชรพิรุณ รอง สว.ผ.4 กก. 2 ป. พร้อมกำลังเจ้าหน้าที่กองปราบ ได้เข้าล้อม บ้านเลขที่ 91/3 ม.6 บ้านไร่ลำปาง ต.โกสัมพี อ.เมือง จ.กำแพงเพชร โดยสืบทราบว่า นายเสือ เพชรสังฆาต อายุ 56 ปี มือปืนรุ่นลายคราม ได้ตั้งตนเป็นผู้วิเศษหลอกลวงชาวบ้านอยู่ในละแวกดังกล่าว

เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ปิดล้อมไว้ทุกด้านแล้ว ได้ตะโกนให้นายเสือมอบตัว ก็เลยเกิดการยิงต่อสู้กัน ปรากฏว่าตำรวจบาดเจ็บ 2 นาย ก็เลยมีการขอกำลังเสริมจาก สภ.ต.ทรงธรรม เจ้าของท้องที่ เพื่อติดตามล่าตัวนายเสือ แต่ปรากฏว่าไม่พบ เหลือเพียงปลอกกระสุนปืนเป็นจำนวนมากตกอยู่

ทำให้ขาดข้อมูลเรื่องราวที่น่าสนใจไป เพราะไม่ทราบข่าวของอาจารย์เสือ และสาเหตุที่แท้จริงในเรื่องราวที่เกิดขึ้น รวมทั้งข้อมูลดี ๆ ที่เกี่ยวกับเรื่องเหล็กไหลอีกหลายแง่หลายมุม แต่สิ่งหนึ่งที่อาจารย์เสือทำได้สำเร็จในครั้งนี้ ย่อมแสดงถึงคุณธรรมและเจตนาที่บริสุทธิ์ในการอัญเชิญเหล็กไหล เพราะได้ทราบข่าวว่า ลูกศิษย์ลูกหาหลายคนได้มีบารมีพอที่จะได้รับมอบเหล็กไหลชุดนี้ไปครอบครองจึงไม่น่าจะ
เป็นผู้ประพฤติมิชอบตามข้อกล่าวหาดังที่เป็นข่าว

เหล็กไหลจากเขากะอางค์

พิธีการอัญเชิญเหล็กไหลนี้ หลวงพ่อวัชระได้เคยไปสัมผัสอยู่แห่งหนึ่งเมื่อปี 2540 ในบริเวณถ้ำบนเขากะอางค์ อ.ท่ามะกา จ.กาญจนบุรี ได้มีคณะค้นหาเหล็กไหล มาชักชวนให้ไปทำพิธี อัญเชิญ เหล็กไหลบารมี ก็เลยสนใจเพราะเคยได้ยินแต่ว่า ตัดเหล็กไหล ส่วนการอัญเชิญอย่างที่เข้าใจก็คงหมายถึง การทำพิธี ให้เหล็กไหลโผล่ปรากฏออกมาเอง เหมือนการเสด็จของพระธาตุกระมัง

ในวันนั้นได้เดินทางไปถึงบริเวณเขาก็มืดค่ำพอดี คณะค้นหาได้รอต้อนรับอยู่ที่เชิงเขา มีผู้คนทั้งชาวบ้านที่ทราบข่าวเกือบ 30 คน เดินขึ้นไปบนเขาเกือบหนึ่งชั่วโมง จึงได้พบจุดที่จะทำพิธี ในขณะที่ทำพิธีนั้นไม่มีโอกาสสอบถามชื่อเสียง ทราบแต่ว่าเป็นชาวเขมรทางสุรินทร์ เก่งในเรื่องค้นหาเหล็กไหล ได้รออยู่จนดึกปรากฏว่า เหล็กไหลไม่ยอมออกมา เพราะคนจำนวนมากขาดความสำรวม ส่งเสียงดังลั่นคูหาไปหมด

ได้มีการนัดหมายเวลาใหม่ในวันรุ่งขึ้น เฉพาะในหมู่คณะที่เกี่ยวข้องเท่านั้น ตกเย็นจึงได้เปลี่ยนจุดนัดพบ ขึ้นเขาอีกทางด้านหนึ่ง เพื่อหลีกเลี่ยงบุคคลภายนอกที่จะติดตาม ปรากฏว่ามีคนร่วมคณะไปรวม 7 คน จนถึงบริเวณถ้ำแห่งหนึ่ง พบว่าได้มีการจัดเครืองบวงสรวง จำพวก ไก่ ปลา บายสี ผลไม้ สุรา น้ำ พานทองสีเหลืองอร่ามขนาดเล็ก ปูรองด้วยผ้าสีแดงสด รังสำหรับใส่เหล็กไหลขนาดฟองไข่ไก่ ผ่าซีก ภายในบุด้วยสำลีสีขาวสะอาด ตั้งอยู่กลางพาน รายล้อมด้วยพวงมาลัยดอกมะลิสดระย้าสีแดง

หลังจากได้สนทนากันพอสมควร ก็ถึงเวลาเริ่มประกอบพิธี อาจารย์เขมรก็เริ่มจุดธูปเทียนทำพิธีอัญเชิญเหล็กไหล ภาษาที่ใช้เป็นภาษาเขมรปนไทยบางคำ คณะติดตามนั่งอยู่เบืองหลังในท่วงท่าที่สำรวม จิตใจจดจ่ออยู่ในเหตุเฉพาะหน้าแน่วนิ่ง เสียงมนตรากระหึ่มด้วยท่วงทีลีลาไพเราะ เหมือนคำร้องชวนเชิญ นานเกือบครึ่งชั่วโมง

ฉับพลันทุกคนก็ได้พบเห็นเหมือนลูกไฟสีเขียวเรืองรองส่องสว่างลอยมาจากหน้าถ้ำ พุ่งเข้ามาสู่ภายในถ้ำอย่างรวดเร็ว สว่างวาบเดียวแล้ววูบดับลงในพานรองรับเหล็กไหลนั้นทันที เสียงมนตรานั้นค่อยแผ่วลง ท่วงทำนองก็เปลี่ยนไปเหมือนแสดงความยินดี อึดใจใหญ่ ๆ ทุกสิ่งก็เงียบสงบลง ไม่มี ใครกล้าจะขยับหรือเหมือนไม่อยากหายใจ เพราะเกรงเสียงลมหายใจจะทำให้อาจารย์เขมรเสียสมาธิ หรือกลัวว่าสิ่งมหัศจรรย์ที่เกิดเฉพาะหน้านี้ จะอันตธานหายไป

อีกอึดใจต่อมาอาจารย์เขมรเริ่มขยับตัวไปที่หน้าพานรองรับเหล็กไหลนั้น ทุกคนเริ่มขยับตาม เห็นวัตถุธาตุสีเขียวคล้ายหยกอ่อนนอนนิ่งอยู่ในรังขี้ผึ้งนั้นเอง ดูแล้วเหมือนขี้ผึ้งที่อ่อนนุ่ม อาจารย์เขมรเอามือจับที่พานแล้วพึมพัมอะไรบางอย่างออกไป ชั่วครู่จึงได้อนุญาตให้ศิษย์บางคนสัมผัสดู หลวงพ่อวัชระได้ลองจับดูปรากฏว่ามีความอ่อนนุ่มแต่เย็นเหมือนน้ำแข็ง ตลอดเวลาที่จับสัมผัสนั้น ขนลุกซู่ชูชันไปทั้งร่าง หลายคนก็ได้ลองสัมผัสดูก็มีความรู้สึกเช่นนั้น

หลวงพ่อวัชระท่านกล่าวว่า เหมือนกับเหล็กไหลที่หลวงพ่อสัมฤทธิ์ได้กล่าวถึงคือ ?ธรรมธาตุ? เหล็กไหลชนิดนี้เป็น ?อรูปธาตุ? มีแต่เพียงจิตวิญญาณที่ไม่มีรูปร่าง แต่มีลักษณะเป็นแสงสี อาศัยอยู่ตามถ้ำที่สำคัญในอดีตกาล โดยอาศัยแฝงองค์อยู่ภายในหินงอกหินย้อย โดยมีเทพเทวารักษาอยู่อีกต่อหนึ่ง ต่อเมื่อถึงเวลาที่ผู้มีบารมีธรรมได้มาพบ เหล่าเทพเทวาที่รักษาอยู่ก็ จะน้อมนำถวายมอบให้แก่ผู้ที่มีบุญวาสนาเหล่านี้ต่อไป

มีลักษณะเหมือนแก้วใส ๆ หรือสีขุ่น เมื่อได้มาใหม่ ๆ มองดูจะคล้ายกับสีผึ้งที่มีความอ่อนนุ่ม แต่เมื่อสัมผัสดูจะรู้สึกว่าแข็ง แต่ไม่ใช่โลหะ สีจะเงาด้านไม่เงาวาว มี หลายสี เช่น เขียว น้ำผึ้ง สี หยก ลูกหว้า เป็นต้น สีสันหลากสีเหล่านี้ เกิดตามบารมีและจริตของเทพผู้รักษา ที่เข้ามาประทับอยู่ ในก้อนธาตุ เหล่านี้

ในที่สุด ?เหล็กไหลสีหยกอ่อน? ก็ค่อย ๆ แข็งตัว เป็นรูปทรงเหมือนลูกฟัก แต่ที่ปลายมีรังเหมือนหินปูนเกาะหุ้มติดตัวเหล็กไหลอยู่ จึงได้เวลาลงกลับมายังเบื้องล่างเกือบสี่ทุ่มเศษ ทุกคนได้พร้อมใจกันว่า จะมอบเหล็กไหลไว้กับผู้ที่เชื่อถือได้รักษาไว้ก่อน ก็เลยตกลงมอบให้หลวงพ่อวัชระดูแลรักษาไว้ก่อน

เช้าวันต่อมาทุกคนก็ได้มาพบกันที่วัดถ้ำแฝด คุณกินรีซึ่งเป็นตัวแทนของคณะ ได้กล่าวปรึกษากับหลวงพ่อวัชระว่า อาจารย์เขมรท่านจะต้องกลับบ้านก่อน เพราะทิ้งบ้านมาหลายวัน ไม่มีใครช่วยดูแลพืชไร่ ทางคณะทุกคนก็ไม่มีใครที่มีเงินพอที่จะมอบสมนาคุณแก่ท่านอาจารย์เขมรที่มาทำพิธีให้ หากหลวงพ่อพอจะมอบปัจจัยเท่าที่จำเป็นแทนก่อน ก็จะขอมอบเหล็กไหลก้อนนี้ไว้กับหลวงพ่อรักษาไว้ก่อน หากหาคนซื้อหรือขายได้เมื่อไหร่ ส่วนหนึ่งก็จะถวายไว้สร้างวัดถ้ำแฝด ส่วนหนึ่งขอให้หลวงพ่อพิจารณาสมนาคุณแก่คณะบุคคลรวม 3 คนด้วยกัน ส่วนที่จะเหมาะสมเท่าไหร่สุดแท้จะให้

ต่อมาได้มีผู้มาติดต่อขอชมเหล็กไหลชิ้นนี้ และได้มีการติดต่อหาผู้ซื้อในราคา 499 ล้านบาท โดยทดสอบกันบนลานวัดบนเขา ซึ่งมีคนงานและคณะติดตามรวมทั้งพระในวัดเกือบ 10 องค์ รวมแล้ว เกือบ 50 คน เป็นสักขีพยาน แต่การทดสอบไม่ผ่าน เพราะนัดแรกยิงไม่ออก เสียงดังแชะ นัดที่สองปลายกระบอกกดลงดินหน้าตรงหน้าพานตั้งเหล็กไหล นัดที่สามกระดกขึ้นสูง แต่พอเอาปืนนัดที่ ยิงไม่ออก ยิงขึ้นฟ้าก็เกิดเสียงดังเปรี้ยงใหญ่

ก่อนจะเริ่มยิงในครั้งนั้น ผู้ยิงได้พบการต่อต้าน คือยกปืนเล็งยิงเป้าหมาย ก็เหมือนมีใครมากดปลายปืนลง ยื้อยึดกันอยู่ครู่ใหญ่ จนทุกคนแปลกใจ นึกอยู่ว่าทำไมเล็งนาน เห็นยกปืนขึ้นปืนลงอยู่ นาน แถมไม่ลุกขึ้นมายิง นั่งยิงอยู่ที่ม้านั่งห่างไปตั้ง 10 เมตรเศษ

การ

เหล็กไหลตัด คือ เหล็กไหลประเภท ?ธาตุสำเร็จ? ที่กระจัดกระจายอยู่ในส่วนต่าง ๆ ตามป่าเขาลำเนาไพร ที่สามารถไหลไปตามส่วนต่าง ๆ ของซอกถ้ำซอกเขา เกิดจากเทพพรหมในระดับ ?รูปพรหม? อาศัยเป็นก้อนธาตุในรูปทรงแบบต่าง ๆ ลักษณะแกร่งพอสมควร อาศัยธาตุเหล็กเป็นธาตุหลัก สีออกค่อนข้างเขียวจนถึงสีปีกแมงทับ ขาวเงินยวง หรือหลายสีในก้อนเดียวกัน รูปทรงเป็นไปตามที่เทพปรารถนา สีสันแตกต่างกันไป เนื้อค่อนข้างมันวาว สามารถยืดได้หดได้ และลื่นไหลแทรกไปในวัตถุแข็งทึบได้ แต่ไม่สามารถล่องหนไปในอากาศได้ด้วยตนเอง ต้องอาศัยผู้ที่มีวิชาอาคมเรียกเอา หรือติดต่อกับผู้ที่เฝ้ารักษาอยู่ คือ เทพ นาคราช คนธรรพ์ อสูร ยักษ์ ฤาษี เป็นต้น เมื่อผู้เฝ้ารักษายินยอมให้แล้ว ผู้มีวิชาอาคมจึงใช้วิชาตัดเอาเรียกเอา

พิธีกรรมตัดเหล็กไหล

การตัดเหล็กไหลเป็นพิธีกรรมที่สืบทอดกันมาแต่โบราณกาล อุปกรณ์ที่จะใช้ประกอบพิธีกรรมจึงอาจจะมีสิ่งแตกต่างกันไปตามบุรพาจารย์ผู้กำหนด เพราะส่วนสำคัญในการตัดเหล็กไหลบางอาจารย์ก็ใช้ หวายผูกลูกนิมิต ใบตาล เส้นผมสาวพรหมจารีย์ ขวานเทียนเข้าพรรษา ประจำเดือนของทารกแรกเกิด เป็นต้น

ผู้จะทำพิธีตัดเหล็กไหล ต้องเป็นผู้ที่มีคุณธรรมประพฤติปฏิบัติรักษาศีลได้มั่นคง ไม่มี่ จิตละโมบ คือต้องขออนุญาตจากเทพผู้ดูแลรักษาเสียก่อน เมื่อได้รับอนุญาตจึงค่อยทำพิธีตัดเอา มิ ฉะนั้นหากเราขืนด้วยกำลัง หมายแย่งชิงเอาโดยพละการ ถือดีในพระเวทย์ก็อาจมีเพทภัยถึงแก่ชีวิต หรือเกิดความขัดแย้งในหมู่คณะจนถึงขั้นวิบัติเอาได้ ด้วยอิทธิฤทธิ์ของเทพผู้รักษาเหล็กไหลนั้นเอง

พิธีกรรมในที่นี้จึงเป็นเพียงแนวทางสำหรับผู้สนใจ ในพระเวทย์เพื่อใช้ในการนี้โดยเฉพาะ ขอให้ท่านได้ลองพิจารณาศึกษาดู เพราะโอกาสจะเรียนรู้ในเรื่องราวเหล่านี้จากครูบุรพาจารย์ผู้รู้นั้นหายาก

อุปกรณ์ในการตัดเหล็กไหล

1.สายสิญจ์จากปากหลุมลูกนิมิตร

2.ไม้ตาขอ 9 อัน ใหญ่พิเศษ 1 อัน

3.มีดหมอลงอาคม เพื่อใช้ตัดเหล็กไหล

4.น้ำผึ้งป่า

5.คาถาเรียกเหล็กไหล

6.คาถาผูกเหล็กไหล

7.คาถาตัดเหล็กไหล

8.คาถาอัญเชิญเหล็กไหล

เครื่องบวงสรวง

1.บายศรีเทพ บายศรีพรหม อย่างละ 1 คู่ สำหรับตั้งศาลเอก

2.ฉัตรเงิน ฉัตรทอง 9 ชั้น 4 ทิศ

3.ตั้งศาลเอก 1 ศาล ศาลเพียงตา 4 ทิศ

4.ผลไม้ 7 อย่างทั้ง 4 ศาล

5.อาหารเจ พร้อมผลไม้ชุดใหญ่ หน้าศาลเอกพร้อมบายศรี

6.บายศรีตอง ตั้งที่ศาลเพียงตาแห่งละ 1 คู่

7.เครื่องกระยาบวช ข้าวตอกดอกไม้

8.อาหารคาวหวาน เช่น หัวหมู เป็ด ไก่ ปลา เนื้อ มะพร้าวอ่อน 1 คู่ กล้วย้ำว้า 1 คู่ ขนมต้มแดง-ตัมขาว ถั่วชนิดต่าง ๆ งาดำ งาขาว ขนม ผลไม้ เหล้าขาว เหล้าแดง หมากพลู บุหรี่ สำหรับเทวดาที่ถือศีล 5 ที่ยังชอบเหล้ายา ปลาปิ้ง ของสด ของคาว จัดแยกไว้ที่หน้าศาลเอกอีกโต๊ะต่างหาก

เมื่อถึงเวลาก็จุดธูป ๙ ดอก เทียนขี้ผึ้งแท้สีขาว ๙ เล่ม

ตั้งนะโม ๓ จบ

กล่าวสัคเคฯชุมนุมเทวดา

จบแล้วต่อด้วยบทสวดดังนี้

สัพเพธัมมานาลัง อภินิเวสายะ ๓ จบ

เอกายะโน อะยัง ภิกขเว มัคโค สัตตานัง วิสุทธิยา

โองการบวงสรวง

      ข้าแต่เทพยดาผู้มีความเป็นทิพย์มีฤทธานุภาพเหนือกว่ามนุษย์ทั้งหลายตลอดจนพระภูมิ
เจ้าที่ ณ บริเวณนี้และบริเวณใกล้เคียง ตลอดจนเจ้าป่า เจ้าเขา ภูมิเทวดา รุกขเทวดา ท่านผู้เป็นหัวหน้าพร้อมบริวาร ข้าพเจ้าขอเชิญทุกท่านมารับเครื่องเซ่นสังเวย อาหารคาวหวาน ขอเชิญท่านทั้งหลายรับประทานได้ตามอัธยาศัย ขอเทพยาดาทั้งหลายที่ข้าพเจ้าออกนามมาข้างต้น และมิได้ออกนามเพราะรู้เท่าไม่ถึงการณ์ได้เมตตาแก่ ข้าพเจ้าอวยชัยให้พรแก่ข้าพเจ้า ขอให้ข้าพเจ้ามีแต่ความสุขความเจริญ ทำกิจการงานใดขอให้สำเร็จตามที่ใจมุ่งหมาย พร้อมกันนี้ ข้าพเจ้าและคณะขอชมบารมีเหล็กไหลและขออนุญาตอันเชิญเหล็กไหลไปสักการะบูชา เพื่อเป็นศิริมงคลแก่ตัวข้าพเจ้าและครอบครัวสักระยะหนึ่ง ในอนาคตถ้าเหล็กไหลก้อนนี้จะทำประโยชน์ให้แก่ประเทศชาติ ทำประโยชน์ให้แก่พระพุทธศาสนา ทำประโยชน์ให้แก่มนุษย์ด้วยกัน ข้าพเจ้าจะนำไปให้เขาบูชา เมื่อสมปรารถนาแล้วเงินที่ได้มานั้น ข้าพเจ้าจะทำประโยชน์แก่ชาติและเพื่อนมนุษย์ 40% ทำประโยชน์ในพระพุทธศาสนา 40% อีก 20% ขอไว้ใช้เป็นส่วนตัว

หากข้าพเจ้าทรยศคดโกง ไม่ทำตามสัจจะสาบานไว้ ขอเทวดาและดวงวิญญาณรวมทั้งบริวารของท่านผู้มีฤทธิ์ทั้งหลาย จงลงโทษข้าพเจ้าให้พบกับความวินาศดับศูนย์ ล่มจมถึงแก่ชีวิต***>>

การที่จะต้องให้สัจจะสาบานแบ่งผลประโยชน์แก่ประเทศชาติและพระพุทธศาสนามากกว่า ผลประโยชน์ส่วนตัว ก็เพื่อให้เจ้าของเหล็กไหล หรือผู้ดูแลเหล็กไหลก้อนนั้นมีใจเมตตา ยอมมอบให้กับคณะผู้ค้นหา เพราะอาจจะเห็นว่า จะดูแลไว้ก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร ถ้าให้คนเหล่านี้ได้ไปและขายได้ ก็จะได้บุญจากคณะค้นหาที่สาบานไว้จะทำบุญ 80% จึงทำให้เทพผู้รักษานั้นไม่หวงสมบัติหรือเสียดายอย่างไร เพราะอยากได้บุญ

แต่ถ้าเทพผู้รักษาตรวจดูด้วยฌาณและมองเห็นว่าในอนาคต คณะค้นหาจะเกิดความโลภ ไม่ทำตามสัจจะที่ให้ไว้ เพื่อไม่ให้เป็นบาปกรรมที่ต้องฆ่าคน ท่านก็อาจจะไม่ มอบเหล็กไหลให้ก็ได้ เพราะท่านเหล่านี้ย่อมมีอำนาจที่จะพาของเหล่านี้ล่องหนหรือซุกซ่อนหาที่ใหม่ได้ หรืออาจจะกำบังตาก็ได้

ด้วยเหตุนี้ผู้มีวิชาอาคมที่มีพลังจิตแก่กล้า บางครั้งก็จะถือโอกาสเข้าแย่งชิงด้วยความโลภ เพียงว่าใครจะเก่งกว่ากันระหว่างเทพหรือวิญญาณผู้รักษาเหล็กไหลหรือเจ้าของเหล็กไหล นั้นจะอนุญาตหรือไม่ ก็ต้องทำการเสี่ยงทายกันด้วยไหวพริบปฏิญาณอีกครั้งโดยอธิษฐานกล่าวออกมาดังๆ ว่า

"ข้าพเจ้า นาย.......นามสกุล.........ขอเหล็กไหลที่อาศัยอยู่ในก้อนหินนี้ ถ้าท่านผู้เป็นเจ้าของเหล็กไหลก้อนนี้หรือท่านผู้ดูแลเหล็กไหลก้อนนี้ อนุญาตให้แก่ข้าพเจ้าขอให้ได้ยินเสียงว่า ให้ (เว้นระยะนิดหนึ่ง แล้วพูดว่า "ให้" ) เป็นการพูดเอง เออเอง วิธีนี้ตามตำราไสยศาสตร์โบราณนิยมใช้กันมาก เพราะถือเคล็ดที่ว่า ถ้าหูเราได้ยินบอกว่า "ให้" ก็ ถือว่าใช้ได้ แสดงว่าเจ้าของอนุญาตแล้ว

วิธีล้อมวงสายสิญจน์ป้องกันอันตราย

เมื่อตั้งใจจะเรียก "เหล็กไหล" ออกมาจากก้อนหิน ก็ต้องป้องกันตนเองจากอันตรายต่างๆ เสียก่อนเพราะภัยจากเจ้าของผู้ดูแลเหล็กไหล บริวาร หรือวิญญาณที่เป็นมิจฉาทิฏฐิฺมาแกล้งทำลายพิธีกรรม ซึ่งอาจรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้ เพราะฉะนั้นเครื่องลางของขลังที่มีอยู่ก็ต้องพกติดตัวไว้เสมอ

การวงสายสิญจน์นั้น เมื่อพบเห็นจุดที่สงสัยว่ามีเหล็กไหลอยู่ ก็ต้องวงสายสิญจน์ล้อมรอบก้อนหินนั้นให้ห่างจากตัวเราหรือตัวเราหรือหมู่คณะประมาณ 1 วา วงล้อมจะเล็กหรือใหญ่ก็ขึ้นอยู่กับจำนวนคนหรือคณะที่มา ถ้ามาเพียงคนเดียวไม้หลักที่จะปักผูกสายสิญจน์ก็น้อย วงก็เล็ก ถ้าคณะใหญ่มากก็ต้องวงสายสิญจน์ให้กว้างพอกับคณะที่มา

อุปกรณ์ในการล้อมวงสายสิญจน์

1. สายสิญจน์ จากปากหลุมลูกนิมิตร ใช้สำหรับผูกเหล็กไหล

2. ไม้ตาขอ 9 อัน หรือ 19 อัน ให้ใช้ไม้ในป่าแถวนั้น แต่ถ้าให้เลือกไม้ที่มีรูปตาขอหรือลักษณะคล้ายตาขอ เพื่อเอาเคล็ดว่า "ขอนะ ขอเถอะ ขอแล้ว ขอครับ ขอค่ะ ขอเล็ก ขอน้อย ขอมาก ขอหมด" รวม 9 ขอ สำหรับขอที่ 10 เป็นไม้ขอพิเศษที่มีขนาดใหญ่กว่าทุกอันและให้เลือกเนื้อไม้ที่แข็งกว่าทุกอัน นำมาเขียนอักษรขอมหรือพระคาถาลงไปเป็นคำว่า "เหลือ" เขียนเสร็จแล้วจะต้องปลุกเสกด้วยคาถาชูชกดังนี้

"นะโม 3 จบ"

"ปะกาเสนโต ตาชูชกคนโซ ขอใครไม่ได้ ต้องให้ กอ ขอ ขอ"

ตาขอพิเศษอันนี้ให้พกติดตัวตอนทำพิธีเป็นเคล็ดว่า "เหลือขอ" เพราะคำว่าเหลือขอนี้คงจะมีความหมายว่า "ลูกเหลือขอ" พ่อแม่ก็ส่ายหน้า ครูบาอาจารย์ก็ส่ายหน้าด้วยเอาไว้ไม่อยู่ มันเหลือขอจริงๆ

ช้างที่ว่าตัวใหญ่ที่สุดในโลกของประเภทสัตว์บก แต่ก็แพ้ตะขอหรือ ตาขอ ของควายช้างที่สับลงบนหัวแต่บางครั้งช้างมันก็รั้นและดื้อเอาการ เอาตาขอสับเท่าใดก็ไม่ ยอมอยู่ในคำสั่ง ไม่ยอมทำตามควาญช้างสั่ง ก็เรียกว่า "เหลือขอ" เหมือนกัน และที่ สำคัญไม้เหลือขอนี้ยังเสกด้วยพระคาถานักขอเอกของชูชกอีกด้วย ดังนั้นจะขออะไรใครก็คงจะสำเร็จง่ายดาย

ดังนั้นการทำพิธีไม้เหลือขอนี้ เพื่อว่าใครๆก็ส่ายหน้าไม่อยากยุ่งเกี่ยว วิญญาณทั้งหลายก็รั้งเราไว้ไม่อยู่ เสร็จแล้วน้ำตาขอทั้ง 9 อันมาปักในดิน ตอนปักต้องท่องคาถากำกับไปด้วย แล้วจึงนำด้ายสายสิญจน์มาล้อม ผูกบนไม้ตาขอเพื่อป้องกันไม่ให้สายสิญจน์ตกดิน เพราะสายสิญจน์เปรียบเหมือนกำแพงบ้านกำแพงเมือง ต้องอยู่กว่าพื้นดิน ถ้านั่งให้อยุ่ในระดับศรีษะ

ขณะที่ปักไม้หลักตาขอให้สวดบริกรรมดังนี้

"พุทโธ พุทธะ โอม เมอะมะอุ ปักดวงจิตดวงใจไว้กับแม่พระธรณี ลูกฝากหลักชัย คุ้มภัยให้ลูก หมู่มารมาเป็นแสนแม่ยังช่วยให้พุทธพ้นภัย ทา สี เน ปะ วิ ขะ สะ อะ เม อุ อันเชิญแม่พระธรณีมารักษาลูก"

ขณะนำด้ายสายสิญจน์มาผูกกับหลักก็ให้บริกรรมพระคาถาอีกบทหนึ่งดังนี้

"พุทผูก ธะมัด สังรัด มิตรึง "

"พุทธังประสิทธิเม ธัมมังประสิทธิเม สังฆังประสิทธิเม"

ผูกสายสิญจน์ล้อมเป็นวงกลมเวียนขวาหรือเวียนตามเข็มนาฬิกา

ขณะล้อมสายสิญจน์ก็ให้สวดพระคาถาอีกบทหนึ่งดังนี้

"พุทโธ พุทธัง นะกันตัง อะระหัง พุทโธ

ธัมโม ธัมมัง นะกันตัง อะระหัง ธัมโม

สังโฆ สังฆัง นะกันตัง อะระหัง สังโฆ

นะโมพุทธายะ นะมะพะทะ จะภะกะสะ พามานาอุ กะสะนะทุ

พุทธะกันนะ ธัมมะกันนะ สังฆะกันนะ"

# อิมัสมิงมงคลจักวาฬทั้ง 8 ทิศ พุทธะประสิทธิเป็นกำแพงแก้ว 7 ชั้น ป้องกันล้อมรอบ ขอบมณฑล อิระชาคะตะระสา กายาดูแลรักษาด้วย ธัมมังประสิทธิ์ สังฆังประสิทธิ

# นะโม นะมัด กำจัดออกไป ศัตรูทั้งหลายอย่าใกล้เสมามณฑล
(พระคาถาท่อนท้ายนี้ สมเด็จย่าของปวงชนชาวไทยทรงท่องเป็นประจำ)

เมื่อทำการล้อมสายสิญจน์เพื่อเป็นกำแพงแก้วป้องกันอันตรายทั้งปวงจากอมนุษย์ทั้งหลาย
แล้ว ยังช่วยป้องกันคุณไสยที่ปล่อยมาจากผู้ต้องการทำลายพิธีได้อีกด้วย

ผู้ทำพิธีควรนุ่งขาวห่มขาวรักษาศีลให้บริสุทธิ์ ต่อหน้าพระพุทธรูปหรือเครื่องรางของขลังที่นำมา เพราะเมื่อล้อมวงสายสิญจน์เรียบร้อยแล้ว ก็สวดมนต์เจริญภาวนา นั่งกรรมฐานเพิ่มพลังจิตให้เข้มแข็งก่อนที่จะทำพิธีหาเหล็กไหลกันต่อไป เพราะอย่างน้อยจิตต้องทรงในระดับอุปจารสมาธิซึ่งเป็นสมาธิระดับเกือบปฐมญาณ ซึ่งพอจะสัมผัสรับรู้หรือเห็นนิมิตต่างๆ ได้ระดับหนึ่ง แต่อาจทรงอยู่ไม่นานนัก

เมื่อจิตสงบดีแล้วก็กำหนดให้เห็นภาพเหล็กไหลหรือของขลังที่อยู่นั้นเคลื่อนตัวออกมา ถ้าเป็นเหล็กไหลให้ใช้เทียนชัยหนัก 9 บาท เป็นเทียนที่ทำจากขี้ผึ้งแท้ ไม่ใช่ทำจากไขมันวัวหรือควาย เพราะไขมันสัตว์ถือเป็นของต่ำ นอกจากรังผึ้งเท่านั้นที่ถือว่าเป็นของสูง ยิ่งไขมันน้ำมันจากตัวเหี้ยห้ามนำมาใช้ทำพิธีเด็ดขาด เพราะถ้างานมงคลใดถ้าใช้เทียนที่ทำจากตัวเหี้ยแล้ว ในคัมภีร์สมุดข่อยโบราณกล่าวไว้ว่า น้ำมันเหี้ย ไขมันเหี้ย ใช้ล้างอาถรรพ์ไสยศาสตร์ของฝ่ายตรงข้ามฉะนั้นเวลาทำเทียนชัยอย่าได้เอาของใครเป็นอัน
ขาด ต้องทำด้วยตนเอง เพราะถ้ามีคนอิจฉาหรือต้องการทำลายพิธีหรือแย่งผลประโยชน์ กัน พิธีกรรมที่เตรียมไว้ก็จะถูกทำลาย หรือฝ่ายตรงข้ามส่งคนแทรกซึมมาช่วยจัดหาเทียนชัยไว้ก็จะถูกลงอาคมคัดของขลังให้เสื่อ
มสลาย การทำพิธีก็จะไม่สำเร็จหรือมีอุปสรรค ฝ่ายตรงข้ามก็จะสวมรอยเข้าไปเอาเหล็กไหลหรือตัดเหล็กไหลไปได้

สำหรับความรู้ในเรื่องน้ำมันเหี้ยแล้ว ไสยศาสตร์ทางแขกหรือคุณไสยทางแขกนั้น สามารถแก้ไขได้ทุกชนิดโดยไม่ยากเพราะในคัมภีร์โบราณ 188 ปี กล่าวไว้ว่า ใช้น้ำมันหมู หรือน้ำมันเหี้ย ปลุกเสกด้วยคาถาถอน ทาทับของที่แขกทำ จะเสื่อมทันที

น้ำมันพรายที่อาจารย์แขกทำให้ศิษย์มาทาสาว พอแก้ด้วยน้ำมันหมูผสมน้ำมันเหี้ย วิญญาณผีพลายแขกร้องเสียงลั่น หนีไปสิงร่างคนที่อาจารย์แขกทำ แล้วอาละวาดจนข้าวของพังเสียหายไปหมด ดังนั้นเมื่อจะทำพิธีใหญ่ก็ควรจะระวังเรื่องเล็ก ๆ น้อย เหล่านี้ด้วย เพราะจะทำให้พิธีเสียได้

พระคาถาอัญเชิญเหล็กไหล

เมื่อตัดเหล็กไหลได้แล้วก็ต้องใช้คาถาอันเชิญธาตุกายสิทธิ์มาอยู่ด้วยเพื่อความเป็น ศิริมงคล

พระคาถาอันเชิญเหล็กไหลไว้บูชามีดังนี้

# พุทโธเมนาโถ ธัมโมเมนาโถ สังโฆเมนาโถ

# สะกะพะจะ ปูชาจะ บูชาท่านผู้ดูแลรักษา ธาตุอันศักดิ์สิทธิ์ ทรงฤทธิ์อานุภาพ

# อิสะวาสุ อิติปิโส ภะคะวา

# เหล็กไหลเจริญมา เจริญยิ่ง เจริญดี สิ่งดี ๆ ทั้งหลายหลั่งไหลเข้ามาหาข้าพเจ้า

# สัมมะ สัมมา สัมมา สัมมะ มะอะอุ

# นะมะพะทะ นะโมพุทธายะ

พระคาถาอาคมต่างๆ ที่ได้บันทึกไว้ในหนังสือนี้ยังไม่เคยปรากฏการตีพิมพ์ที่ไหนมาก่อน นับเป็นโชคดีของท่านผู้สนใจเพราะหาผู้รู้เรื่องเหล่านี้ยาก ไม่มีตำราจะให้ศึกษา เพราะคนโบราณจะหวงวิชา จะให้วิชาที่ตนรู้ - ทำได้ - ตายไปพร้อมกับตนเองเว้นแต่จะถ่ายทอดให้ลูกหลานเท่านั้น คนไหนเกเรก็ไม่ได้อีกเช่นกัน บางครั้งก็ถ่ายทอดให้ไม่หมด เพราะกลัวศิษย์คิดล้างครูก็มีเหมือนกัน

เทพเทวาเป็นผู้มอบให้

เหล็กไหลประเภทนี้ เกิดจากการอธิษฐานจิต ของผู้ที่มีคุณธรรม ที่มีความประสงค์จะขอบารมีจากเหล็กไหล เพื่อประโยชน์ในการทำนุบำรุงพระศาสนา โดยมิได้ใช้เวทมนต์วิชาการต่าง ๆ ไปบีบคับหรือแย่งชิงเอา แต่อาศัยบุญบารมีที่ตนเองได้เคยบำเพ็ญมาแต่ครั้งอดีตชาติ และเคยเป็นเจ้าของสิ่งนี้มาก่อน

เมื่อถึงเวลาเหล่าเทพเทวา นาคนาคา คนธรรพ์ ยักษ์ ผู้ดูแลรักษาสิ่งเหล่านี้ จะนิมิตบอกให้รู้ เพื่อให้มารับเอาของสิ่งนี้ซึ่งเป็นของคู่บารมีไปรักษา เพราะผู้มีบารมีในที่นี้ส่วนใหญ่จะเป็นผู้ที่ รักษาศีลหรือปฏิบัติมาก่อน จึงมีญาณหยั่งรู้ในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับอดีตตนเองได้ค่อนข้างมาก จึงสามารถเป็นเจ้าของเหล็กไหลนี้ ซึ่งจะเป็นการพบโดยบังเอิญหรือได้มาด้วยความศรัทธาจากการบูชาหรือจะด้วยแรงอธิษฐาน หรือนิมิตบอกก็ตาม

แผ่บารมีทิ้งไว้เมื่อถึงเวลาจุติ

เหล็กไหลประเภทนี้ เกิดจากเทพพรหมเทวา ผู้รักษาเหล็กไหลได้บำเพ็ญบารมีธรรมจนเข้าสู่อริยมรรค หรือ พ้นจากวิบากกรรมบางอย่าง จะจุติในภพภูมิที่สูงยิ่ง ๆ ขึ้นไป ก็จะทิ้งธาตุขันธ์หรือสิ่งที่เคยรักษาไว้อยู่ โดยการอธิษฐานจิตทิ้งเอาไว้ในถ้ำหรือสถานที่ลึกลับ ให้เทพเทวาหรือยักษ์ คนธรรพ์คอยเฝ้ารักษา จนกว่าจะพบผู้ที่มีบารมีธรรมพอจะรักษาสิ่งเหล่านี้ให้ ก็จะมอบให้โดยวิธีใดวิธี หนึ่งดังนี้

1.เหล็กไหล ที่เคยไหลผ่านไปมาตามซอกถ้ำซอกผา มีลักษณะเป็นแผ่น ๆ เป็นปื้น เป็นก้อนขนาดต่าง ๆ ฝังตัวอยู่ตามซอกหินในถ้ำที่ลี้ลับ รอเวลาผู้มีวาสนาเอาไปทำประโยชน์ เหล็กไหลประเภทนี้จะไม่ไหลย้อยเคลื่อนที่ไปไหนอีก แต่จะถูกพรางตาจากบุคคลผู้ไร้วาสนา หากผู้มีวาสนาได้พบเห็นและทำพิธีให้ถูกต้อง ก็จะมีฤทธิ์อำนาจเป็นเหล็กไหลชั้น 1 ได้เหมือนกัน

2.องค์เหล็กไหล สำหรับผู้มีบารมีที่เข้าไปบำเพ็ญฌาณตามป่าเขาหรือถ้ำลึกลับ เทพผู้รักษาจะมอบให้ ถ้าต้องการ

พิธีกรรมทดสอบบารมีเหล็กไหล

ในการทดสอบบารมีของเหล็กไหลนั้น จะทำเป็นเล่นๆ หรือ เพื่อความรู้อย่างเดียวหาได้ไม่เพราะเหล็กไหลในที่นี้มีจิตวิญญาณครอบครอง มีความรู้สึก รัก โกรธ เกลียด ชอบ หรือดีเฉกเช่นความรู้สึกของสัตว์โลกทั่วไปที่ยังไม่พ้นความเป็นปุถุชน เพียงแต่อาศัยธาตุขันธ์ประกอบเข้ากันใช้เป็นที่อยู่อาศัย โดยใช้บุญฤทธิ์และอิทธิฤทธิ์ความเป็นเทพในระดับภพภูมิต่างๆ แฝงเข้าอาศัยอยู่ ดังนั้นมีใครคิดไม่ซื่อหรือไม่ดีที่จะมาทำลายหรือมุ่งร้ายด้วยเจตนาที่ไม่บริสุทธิ์ จะมีการต่อต้านหรือต่อสู้เกิดขึ้นได้เช่นกัน เช่นทำให้อานุภาพของดินปืนชื้นจนยิงไม่ออก บางครั้งผู้ที่ทดสอบด้วยปืน จะถูกเหล็กไหลต่อสู้ยื้ดยุดฉุดรั้งปืนหรือแขนไว้จนไม่สามารถจะยิงได้จนสุดท้ายถูก สิ่งที่มองไม่เห็นถีบหน้าอกหรือจุกแน่นหน้าอกจนไม่สามารถทำการยิงได้ บางครั้งล้มลงทั้งยืนเลยก็มี

ผู้อ่านหลายคนอาจจะไม่เชื่อว่าสิ่งเหล่านี้เป็นจริงหรือไม่ หรือเกินความจริงไปหรือเปล่า แต่สิ่งเหล่านี้รอการพิสูจน์จากผู้ที่สนใจและต้องการสิ่งที่มีอานุภาพในการปกป้อง คุ้มครอง ไม่ใช่จากนายหน้าหรือผู้ที่หากินทางอาชีพยิงเหล็กไหล โดยหลอกว่ามีนายทุนใช้ให้มาทดสอบบ้าง มีการวางเงินเดิมพันบ้าง มิฉะนั้นถ้าพบของจริงอย่างที่ว่าแล้วท่านอาจจะพบกับเหตุการณ์ที่น่าสพึงกลัวจาก สิ่งที่มองไม่เห็นเหล่านี้ได้โดยง่ายก็ได้ แต่สิ่งเหล่านี้ต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่าเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงสดๆ ร้อนๆ ต่อหน้าสายตาคนนับร้อย ดังที่จะกล่าวถึงในโอกาสต่อไป

เครื่องบูชา

1.บายศรีเทพ บายศรีพรหม บายศรีตอง

2.ฉัตรเงิน ฉัตรทอง 9 ชั้น 4 ทิศ

3.ตั้งศาลเอก 1 ศาล ศาลเพียงตา 4 ทิศ

4.ผลไม้ 7 อย่างทั้ง 4 ศาล

5.อาหารเจ พร้อมผลไม้ชุดใหญ่ ตั้งศาลเอกพร้อมบายศรีเทพ 1 คู่ บายศรีพรหม 1 คู่

6.บายศรีตองตั้งศาลเพียงตาอย่างละ 1 คู่

7.เครื่องกระยาบวช ข้าวตอกดอกไม้

8.คนอ่านโองการอัญเชิญ

สำหรับพิธีกรรมต่างๆ นั้นสุดแท้แต่ความประสงค์ของเทพที่รักษา ที่กล่าวมานี้เป็นเพียงตัวอย่างในการจัดทำพิธีในสถานที่แห่งหนึ่งเท่านั้น

หลังจากทำพิธีอันเชิญบอกกล่าวขออนุญาตจากเทพผู้ปกปักรักษาเหล็กไหลก็เป็น หน้าที่ของผู้ทำการทดสอบส่วนใหญ่จะเป็นไม้ขีด หรือปืนยิง 3 นัด สุดแท้แต่เงื่อนไขปลีกย่อยที่จะตกลงกันเอง ซึ่งจะต้อง ใช้วิจารณญาณของตนเองอย่าให้ตกเป็นเครื่องมือหากินของกลุ่มผู้ไม่สุจริต เท่านั้น ผู้ซื้อจริงๆ นั้นมีน้อย อย่าหลงเชื่อคนแปลกหน้าง่ายๆ หรือฟังคนบอกว่าเป็นนายทุนมีเงินเป็นร้อยล้านพันล้าน ซึ่งก็ยากแก่การตรวจสอบ พอผ่านการทดสอบสอบจริงๆ แล้ว นายทุนที่ว่าไม่มีเงินจ่ายก็อาจเดือดร้อนได้ในภายหลังเหมือนกันซึ่งส่วนใหญ่จะมีหลัก
เกณฑ์ดังนี้

1.นายหน้าจะต้องมีเงินค่าบูชาครูในการจัดตั้งปรำพิธีหรือของใช้ในพิธี ซึ่งสุดแท้แต่พิธีเล็กหรือใหญ่ ประมาณ 30,000 บาทขึ้นไป

2.ค่าใช้จ่ายของฝ่ายนายทุนผู้ทดสอบการยิง 30,000 บาท

3.เงินมัดจำหรือเงื่อนไขการจ่ายเงินเมื่อการทดสอบผ่านเรียบร้อย

เหล่านี้เป็นเรื่องที่ต้องระมัดระวังทุกขั้นตอนเหมือนกัน เพราะมีเล่ห์เหลี่ยมของผู้ที่ แสวงหาผลประโยชน์จากความโลภของคนเราได้ง่ายเหมือนกัน ดังข่าวที่ปรากฏตามหน้าหนังสือพิมพ์เป็นประจำ

ขั้นตอนการทดสอบ

1.จุดธูปบอกกล่าวขอชมบารมีและขอขมาโทษหากได้ล่วงเกินต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้

2.ทดสอบอาวุธปืน โดยทดสอบยิงขึ้นฟ้า 1 นัด เล็งเป้าหมายระยะไม่เกิน 2 เมตร แล้วเหนี่ยวไกปืน

3.กรณีเป็นไม้ขีด เมื่อเปิดรังเหล็กไหลแล้วประมาณอึดใจ ก็ทดสอบขีดดูก็จะรู้ผล หากชึ้นชุ่มขีดไม่ติดทุกก้าน ก็ผ่านตามข้อตกลง 2 กล่องหรือมากกว่านั้น

ผลจากการทดสอบการยิง

ทั่วไปแล้วจะกำหนด 3 นัดยิงไม่ออกจึงจะผ่าน และระหว่างทำการทดสอบหากปืนจะขัดข้องด้วยประการใดๆ จนไม่สามารถทำการยิงได้ หรือผู้ยิงมีอาการจุกแน่น หรือมี อาการอย่างใดอย่างหนึ่งจนไม่สามารถทำการยิงได้ ก็ถือว่าผ่าน ดังนั้นเมื่อถึงเวลาทดสอบแล้วจะเปลี่ยนอาวุธหรือคนยิงใหม่ไม่ได้จะต้องถือว่าผ่านเช่
นกัน

จากการชมบารมีของเหล็กไหล 2 องค์ สีเขียวคล้ายหยกอ่อน และเขียวอมฟ้าปรากฎผลมหัศจรรย์ดังนี้

1.ถ่ายรูปไม่ได้หากไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของเหล็กไหลโดยถูกวิธี เพราะมีผู้พยายามจะถ่ายรูปกดชัตเตอร์ถึง 3 ครั้ง กล้องไม่ทำงาน ทั้งตรวจสอบกล้องมาอย่างดีและไม่ได้นำไปใช้ที่ใดเลยในระหว่างการเดินทาง

2.แม้จะอนุญาตให้ถ่ายได้ บางครั้งเหล็กไหลไม่ให้ถ่ายบางภาพ หน้ากล้องจะถูกปิดโดยอัตโนมัติทันที

3.ไฟหรี่ลงเอง แอร์จะดับ เครื่องยนต์ดับเอง

4.ผู้ที่ทดสอบเหล็กไหลประเภทนี้ จะมีอาการจุกแน่นหน้าอก หายใจไม่ค่อยออก เมื่อจะเล็งเป้าไปที่เหล็กไหลจะรู้สึกมือไม้หนักจนยกปืนไม่ขึ้น เมื่อขืนทำเหมือนจะถูกเหนี่ยวรั้งไว้ จนคนที่อยู่ในบริเวณจะเห็นได้ชัดเจนถึงความผิดปกติในตรงนี้

5.เมื่อเหนี่ยวไกปืนจะไม่ดัง คือยิงไม่ออกมีเสียงสับนกดัง แชะ เท่านั้น

6.ถ้าเหล็กไหลสู้ หากฝืนครบจน 3 นัด จะถูกลงโทษอย่างรุนแรงจนร้องออกมาด้วยความตกใจ และหงายหลังล้มลงทันที มือไม้สั่นกระตุกจนเห็นได้ชัด บางคนง่ามมือฉีก บางทีก็ปืนแตก บางคนชักดิ้นชักงอต่อหน้าเดี๋ยวนั้นทันที

7.หากเหล็กไหลหนีจะพุ่งแรงเห็นเป็นลำแสงวิ่งขึ้นฟ้าพร้อมเสียงหวีดแหลมชั่วพริบตา เท่านั้น

8.บางครั้งเมื่อครบ 3 นัด คนยิงถูกเหล็กไหลกระแทกกลับจนหงายหลังแล้ว จะพบว่าองค์เหล็กไหล ไม่ได้อยู่ที่เดิมเสียแล้ว บางครั้งกระโดดลงไปในถาดผลไม้เครื่องบูชา ถ้าถ่ายวีดีโอจะมองเห็นเป็นลำแสงสีแดงวิ่งพุ่งลงไป บางครั้งเอาใส่เซฟที่ผู้ทดสอบจัดหามา วางเปิดให้เห็นในเซฟแล้วทดสอบ เหล็กไหลกระโดดมาอยู่บนจานเชิงเทียนขนาดใหญ่ที่วางตั้งอยู่ใกล้ ๆ กัน ทั้งที่มีสายตาหลายสิบคู่มองกันแทบไม่กระพริบ แต่ไม่มีใครสังเกตุว่ากระโดดออกมาจาก เซฟหรือพานรองรับเมื่อไร

ดังนั้นผู้ทดสอบชมบารมีเหล็กไหล จริงๆ แล้วจะต้องระมัดระวังอันตรายจากจุดนี้ด้วย จนผู้ที่รู้ดีจะเสี่ยงใช้เทียบลูกปืน หรือก้านไม้ขีดแทน ดูจะปลอดภัยกว่าด้วยประการทั้งปวง

เหตุผล ทั้งนี้ทั้งนั้นในเมื่อเป็นธาตุกายสิทธิ์ที่มีชีวิตจิตวิญญาณ มีความรู้สึกเหมือนกับเรา หากเป็นมนุษย์ธรรมดา ต่อให้สนิทกันขนาดไหน ลองเอาปืนไม่มีกระสุนแล้วเล็งมาพร้อมโก่งไกไว้ ท่านจะพอใจ หรือไม่

ดังนั้นอาถรรพณ์ของเหล็กไหลทางป้องกันและรักษา จึงค่อนข้างมีอานุภาพและอิทธิฤทธิ์นานาประการสุดแท้แต่ความประสงค์ที่จะอธิษฐานเอา และเพื่อเผยแพร่เรื่องราวอันแสนมหัศจรรย์ให้แก่ผู้สนใจได้รับทราบและศึกษากันต่อไป

แก๊งต้มตุ๋น "เหล็กไหล"

พระอาจารย์เกษมสุข เขมสุโข วัดประดู่ธรรมาธิปัตย์ บางโพ กรุงเทพฯ ได้เคยเล่าให้ฟังว่า เมื่อประมาณปี 2535 ท่านได้รับการติดต่อจาก หัวหน้าแก๊งต้มตุ๋นขายเหล็กไหลรายหนึ่ง ได้เสนอขายสูตร และกรรมวิธีใช้ "เทียนลนเหล็กไหล" ให้สามารถย้อยออกมาจากหินในราคาถึง 100,000 บาท เพื่อนำไปใช้ประกอบการหลอกลวงเรียกเงินทองจากญาติโยมผู้รู้เท่าไม่ถึงการณ์ ซึ่งวิธีดังกล่าวได้เคยใช้ได้ผลมาแล้วหลายราย ทำให้ได้เงินไปใช้หลายล้านบาท

อาจารย์เกษมสุข ท่านแกล้งทำเป็นสนใจ แต่มีข้อแม้ว่าจะต้องทดสอบให้ท่านดูที่วัดเสียก่อน ปรากฏว่าทางแก๊งต้มตุ๋นยอมตกลง แต่ขอค่าใช้จ่ายในการทดสอบ 2,000 บาท ซึ่งปรากฏว่าเขาสามารถใช้เทียนลนให้หินแข็ง ๆ ไหลเยิ้มออกมาได้จริง ๆ ดังภาพที่ปรากฏด้านข้าง ซึ่งทางแก๊งดังกล่าวได้เปิดเผยต่อไปว่า ของเหลวที่ไหลออกมานั้นไม่ใช่หิน แต่จะเป็นสารผสมทางเคมีหลายชนิดรวมกันโดยมีปรอทเป็นส่วนผสมหลัก จากนั้นก็จะนำเอาไปฝังไว้ในก้อนหินที่จัดเตรียมไว้ ก่อนที่จะใช้กาวติดที่ผนังถ้ำก่อนที่จะทำการทดลองให้เหยื่อชม

ระหว่างการทดลองนั้นทางแก๊งได้พยายามโน้มน้าวพระอาจารย์เกษมสุขให้คล้อยตาม โดยบอกว่าท่านเสียเงินเพียง 100,000 บาทเท่านั้น แต่ถ้านำไปหลอกผู้คนก็จะได้เงินเป็นล้านทีเดียว โดยท่านอาจารย์เพียงแต่นำเศรษฐีที่มีเงินและอยากได้เหล็กไหลมาเท่านั้น ทางแก๊งจะนำเอาเหล็กไหลเทียมที่ทำขึ้นนี้ไปซ่อนฝังไว้ตามจุดที่นัดหมาย แล้วให้ท่านอาจารย์เอาเทียนลนเหล็กไหลนั้น ก็จะทำให้คนเชื่อว่าเป็นเหล็กไหลตัดสดจริง ๆ ก็จะได้เงินหลายล้านบาท

หลังจากได้เห็นการทดสอบพร้อมกับจ่ายค่าโง่ไปแล้ว อาตมาก็ตอบปฏิเสธที่จะซื้อสูตรดังกล่าว เพราะไม่สามารถหาเงินแสนมาจ่ายค่าซื้อสูตรการต้มตุ๋นได้ นอกจากนี้แล้ว หากเอาไปหลอกคนอื่นมีหวังอาจจะถูกตามฆ่าก็ได้" พระอาจารเกษมกล่าว

นอกจากนี้แล้ว พระอาจารย์เกษมยังเปิดเผยถึงวิธีต้มตุ๋นที่คนโลภทั่วไปถูกหลอกอีก 2 วิธี โดยวิธีแรกคือ ขอเงินค่าทดสอบ โดยอ้างว่าจะมีนายหน้ามาซื้อเหล็กไหล ทั้งนี้จะบอกว่า "เหล็กไหล" ของเขาต้องบูชาครูด้วยจำนวนเงิน 500,000 บาท เพราะไม่เช่นนั้น "เหล็กไหล" จะหายไป เมื่อเขาอ้างว่า "เหล็กไหล" สามารถทดลองกับไม้ขีดไฟ ด้วยการนำไม้ขีดไฟมาวางและเอา "เหล็กไหล" มาวางทับทิ้งไว้ 10 นาที ไม้ขีดนั้นก็จะจุดไม่ติด ถ้าทดลองกับไม้ขีดไฟเห็นผลแล้วก็จะนำไปทดลองกับลูกปืน ซึ่งถ้าเอาเหล็กไหลไปทาบกับลูกปืน ลูกปืนก็จะยิงไม่ออกเช่นกัน

วิธีการหลอกลวงนั้นจะมีหน้าม้า 3 คน ขั้นแรกต้องเลือกเอาบ้านของเหยื่อที่มีฐานะก่อน โดยจะหาเอาไม้ขีดไฟที่เหยื่อเป็นผู้ซื้อเองมาใหม่ ๆ มาทดลอง โดยบอกเหยื่อว่าจะเอา "เหล็กไหล" วางทับไว้ 10 นาที หลังจากนั้นไม้ขีดไฟจะจุดไม่ติด ขณะที่รอคอยเวลาอยู่นั้น ก็จะชวนเหยื่อคุย พร้อมกับชี้นิ้วมือไปที่ภาพใดภาพหนึ่งในบ้าน แล้วถามว่าเป็นภาพอะไร ถ่ายที่ไหน ทำทีเป็นสนใจมากเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ เหยื่อก็จะหันไปมองที่ภาพนั้น ทุกสายตาก็จะเบนตามไปด้วย จังหวะนั้นเองคนในแก๊งก็จะรีบสับเปลี่ยนไม้ขีดไฟทันที อีกวิธีหนึ่ง แกล้งทำแก้วให้ตกแตก พอเหยื่อหันไปดูเขาก็จะเปลี่ยนไม้ขีดไฟทันทีเช่นกัน

เมื่อนำไม้ขีดไฟมาจุดก็จะจุดไม่ติด เหยื่อเจ้าของบ้านก็จะเข้าใจว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์ เป็นอิทธิฤทธิ์ของเหล็กไหล เนื่องจากไม้ขีดเป็นของตัวเองที่ซื้อมากับมือ ยังจุดไม่ติดจริง ๆ แต่หารู้ไม่ว่า ไม้ขีดไฟถูกแอบสับเปลี่ยนไปแล้ว และไม้ขีดไฟของแก๊งต้มตุ๋นนั้นได้มีการเคลือบน้ำ ซึ่งทำให้หมดสภาพในการจุดประกายไฟ

ก่อนกลับแก๊งต้มตุ๋นจะเอาเงินค่าบูชาครูที่เหยื่อเป็นคนจ่ายให้ใส่กล่องแล้วห่อด้วย ผ้าขาว พร้อมกับบอกเหยื่อเจ้าของบ้านว่า จะขอฝาก "เหล็กไหล" และเงินค่าบูชาครูที่ทำพิธีไว้กับเจ้าของบ้านก่อน ให้เก็บบูชาเป็นระยะเวลา 1 เดือน ห้ามเปิดออกมาโดยเด็ดขาด ไม่เช่นนั้น "เหล็กไหล" จะหนีไปหมด

วิธีการหลอกเอากล่องที่ใส่เงินจะทำเช่นเดียวกับการสับเปลี่ยนไม้ขีดไฟ โดยแก๊งคนร้ายได้เตรียมกล่องห่อผ้าขาวมาอีก 1 ห่อ ซึ่งก่อน ที่จะเปลี่ยนกล่องดังกล่าวนั้น แก๊งต้มตุ๋นจะใช้ให้เหยื่อไปจุดธูปบูชา "เหล็กไหล" กลางแจ้งก่อน พอเหยื่อเผลอเขาก็แอบเปลี่ยนห่อ ผ้าขาวทันที

เมื่อครบ 1 เดือน เหยื่อจะแก้ห่อผ้าขาวออกมาดู ปรากฏว่าเงินค่าไหว้ครูไม่มีเสียแล้ว และวัตถุที่บอกว่าเป็น "เหล็กไหล" ก็ไม่มี สิ่งที่ปรากฏคือก้อนหิน หรือก้อนเหล็กอะไรสักอย่างหนึ่ง ที่ไม่มีราคาค่างวดอะไรเลย

ข่าวการทดลองเหล็กไหล

ข่าวคราวของการทดลองเหล็กไหลมักจะปรากฏให้ได้ยินเป็นระยะ ๆ จริงบ้างเท็จบ้าง จึงควรต้องใช้วิจารณญาณพิจารณาให้ดี แต่ถ้าเป็นเพียงเพื่อศึกษาค้นคว้าก็ไม่น่าเป็นห่วงเท่าไหร่ ดังนั้นจึงขอนำเสนอข่าวเกี่ยวกับเหล็กไหลให้ท่านได้ทราบในอีกแง่มุมหนึ่ง

588 บ้านฟ่อน หมู่ 2 ซอย 2 ต.ชมพู
อ.เมือง จ.ลำปาง 52100

8 พฤษภาคม 2540

นมัสการ พระครูกาญจนกิจจาทร (หลวงพ่อสัมฤทธิ์ คมภีโร)

กระผม นายพุทธิพงศ์ ศรีวิกุล เป็นชาวจังหวัดลำปาง ได้อ่านและทราบประวัติของหลวงพ่อ เกี่ยวกับการตัดเหล็กไหล และการฝังเหล็กไหลในตัวคน ซึ่งกระผมมีความสนใจมาก คิดว่าจะมาฝังเหล็กไหลด้วยตนเอง และจะนำคณะมาฝังเหล็กไหลด้วยในไม่ช้านี้ ส่วนเรื่องของการตัดเหล็กไหลนั้น มีอยู่ว่ามีคณะของกระผมคนหนึ่ง เขาต้องการที่จะขายเหล็กไหลเป็นจำนวนเงินมากพอสมควร และจะต้องใช้ปืนลองยิงดูทุกครั้ง เป็นการทดสอบว่าของดีจริง หรือไม่ จุด 38 ยิงเป็นจำนวน 3 นัด ผลออกมาคือ ไม่เคยยิงออกเลย เหล็กไหลมีอยู่ 2 ก้อน

ก้อนที่ 1 มีน้ำหนัก 3 บาท

ก้อนที่ 2 มีน้ำหนัก 5 บาท

เป็นเหล็กไหลโกฏิปี มีลักษณะสีสรรวรรณะ เขียวเหมือนสีของแมลงทับ และในการตัดเหล็กไหลจะต้องมี พระที่มีบารมีมาก จึงจะตัดได้ และจะต้องทำพิธีการตัดอยู่หลายอย่าง จึงกราบเรียนหลวงพ่อให้ทราบว่า มีของอยู่แล้ว แต่เวลามีนายทุนใหญ่มาลองของทุกครั้ง ไม่เคยมีใครยิงออกเลย แต่เวลาจะโอนเงินนั้น เหล็กไหลได้กลับไปอยู่กับเจ้าของเหมือนเดิม ทั้ง ๆ ที่เอาใส่ไว้ในตู้เป็นกล่องเหล็กอย่างดีไม่มีรูแม้แต่น้อยเลย พวกกระผมทำกันถึง 3 ครั้ง แต่ก็กลับไปอยู่กับคณะของพวกกระผมเหมือนเดิม

ซึ่งพวกกระผมก็ได้หาวิธีและได้นิมนต์พระมาหลายรูปแล้ว เพื่อมาตัดเหล็กไหลนี้ แต่ก็เหมือนเดิม อาจจะคงเป็นเพราะทำพิธีไม่ถูกต้องก็เป็นได้ จึงกราบเรียนให้หลวงพ่อได้ทราบในเรื่องนี้ด้วย ซึ่งหลวงพ่อเป็นผู้ที่มากด้วยบารมีและรู้วิธีการตัดเหล็กไหลได้อย่างถูกต้อง จากที่กระผมได้ศึกษามานี้จึงทำให้คิดว่า หลวงพ่อต้องทำได้อย่างแน่นอนในวิธีการตัดเหล็กไหลในครั้งนี้

ในเรื่องของการเดินทางมาที่ถ้ำแฝดนี้ กระผมจะนำคณะมาเอง โดยที่หลวงพ่อไม่ต้องออกไปไหน และการจัดเตรียมวัสดุอุปกรณ์มีอะไรบ้างขอให้หลวงพ่อเขียนมาบอกด้วย หรือจะให้จัดเตรียมที่ จ.กาญจนบุรี เลยก็ได้ ขอนมัสการกราบเรียนหลวงพ่อว่า เรื่องเป็นความสัจจริงทุกประการ และถ้าหากวิธีการตัดเหล็กไหลสำเร็จแล้ว พวกกระผมและคณะจะสร้างทุกอย่างที่ทางวัดถ้ำแฝดต้องการ หรือหลวงพ่อต้องการจะสร้างอะไร กระผมจะเป็นผู้จัดการให้ทุกอย่าง จึงเรียนมาเพื่อให้หลวงพ่อได้โปรดเมตตาช่วยให้พวกกระผมได้ร่วมสร้างผลบุญกุศลในครั้ง
นี้ด้วย ถ้าได้รับจดหมายจากกระผมแล้ว กระผมขอรบกวนหลวงพ่อช่วยเมตตาตอบจดหมายให้กระผมได้ทราบด้วย ส่วนเรื่องของการเดินทางพวกกระผมและคณะจะเดินทางมาพบหลวงพ่อเองครับ

ที่มา  http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=1895








ความเห็นล่าสุด

Your left Slidebar content. -->