gallerybottom

แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ปริศนาโลก แสดงบทความทั้งหมด

คร็อพเซอร์เคิล (CROP CIRCLES : AVEBURY, ENGLAND)

คร็อพเซอร์เคิล (CROP CIRCLES : AVEBURY, ENGLAND)

 วงธัญพืช หรือ วงข้าวโพดล้ม หรือ ครอปเซอร์เคิล (อังกฤษ: crop circle) เป็นคำที่ใช้อธิบายถึงรูปแบบพืชที่ล้มลง ซึ่งเริ่มต้นจาก ข้าวโพด โดยคำนี้รวมถึง ข้าวสาลี ข้าวบาร์เลย์ ถั่วเหลือง วงข้าวโพดล้มนี้พบได้หลายแห่งทั่วโลก



คืนหนึ่งในปี 1972 ณ ประเทศอังกฤษ อาเทอร์ ชัตเติลวูด(Arthur Shuttlewood) กับ บริซ บอนด์(Bryce Bond) ซุ่มซ่อนตัวบริเวณเนินเขาสตาร์ฮิล ใกล้เวสมินเตอร์ เพื่อเฝ้าดูปรากฏการณ์แสงประหลาด ซึ่งเกิดขึ้นในแถบนั้นมานานเกือบทศวรรษ เชื่อกันว่ามันคือยูเอฟโอ คืนนั้นทั้งสองผิดหวังเมื่อไม่พบแสงประหลาด แต่ได้รับการชดเชยด้วยร่องรอยบางอย่างที่อาจเกี่ยวข้องกัน นั่นคือ พืชที่ล้มเป็นวงกลม ซึ่งต่อมาเรียกกันว่า Crop Circles
สี่ปีต่อมาในเดือนกันยายน 1976 เอดวิน เฟอร์(Edwin Fuhr) ชาวนาแห่งแลงเกนเบิร์ก(Langenburg) อ้างว่า เห็นยานรูปโดมสีเงินหลายลำ บินอยู่เหนือทุ่งนาหลังจากที่ยานเหล่านี้จากไปแล้ว เขาก็พบครอปเซอร์เคิลหลายแห่งในบริเวณนั้น นี่คือเรื่องราวแรกเริ่มของปรากฏการณ์วงกลมพืชบนท้องทุ่งของอังกฤษ ที่ผู้คนมากมายเชื่อว่าเป็นหนึ่งในปริศนาลึกลับของโลกอยู่ทุกวันนี้


ครอปเซอร์เคิล ถูกค้นพบครั้งแรกในปี 1678 ที่เฮิร์ทฟอร์ดเชียร์ อังกฤษ ไม่มีใครอธิบายได้ว่าใครหรืออะไรทำให้มันเกิดขึ้น แต่หลังจากการค้นพบของชัตเติลวูดกับบอนด์และเฟอร์แล้ว มันนำไปสู่ทฤษฎีแรกคือร่องรอยการลงจอดของยานจากต่างดาว ตามมาด้วยทฤษฎีอุกกาบาตและทฤษฎีพายุทอร์นาโดขนาดเล็ก ในทศวรรษที่ 1980 ได้มีการค้นพบครอปเซอร์เคิลมากขึ้น โดยเฉพาะรอบๆเมืองวอร์มินสเตอร์(Warminster) ในช่วงต้นของทศวรรษนี้รูปทรงของมันก็ยังคงเหมือนเดิม คือเป็นวงกลมหยาบๆ แต่ในกลางทศวรรษรูปทรงของมันซับซ้อนขึ้น คือมีวงแหวนแตกออกไป และมันเริ่มดึงดูดใจคนอังกฤษมากขึ้น ในทศวรรษนี้เอง ด๊อกเตอร์ เทอร์เรนซ์ มีเดน(Terrence Meaden) ศาสตราจารย์ทางฟิสิกส์และนักอุตุนิยมวิทยาได้พยายามไขปริศนานี้ โดยทำการวิจัยครอปเซอร์เคิลมากกว่า 1,000 แห่ง มีเดนเสนอทฤษฎีว่า ครอปเซอร์เคิลเกิดจากความผิดปกติของอากาศที่เขาเรียกว่า Plasma Vortex ทำให้เกิดลมหมุนวนในระดับสูงแล้วเคลื่อนตัวลงสู่พื้นทำให้พืชแบนราบ


ทฤษฎีนี้ได้รับการสนับสนุนจากผลการทดลองของนักวิทยาศาสตร์ญี่ปุ่นคือ ศาสตราจารยโอซึกิ (Ohtsuki) เขาใส่พลาสมา (plasma Fireballs) ลงในถาดแป้ง ผลปรากฏว่ามันทำให้เกิดวงแหวนสองชั้นรอบศูนย์กลาง ปี 1991 ได้มีการค้นพบครอปเซอร์เคิลหลายร้อยแห่งในอังกฤษ มันยังแพร่ระบาดไปในเยอรมัน สหรัฐอเมริกา บราซิล โรมาเนีย ฮังการีและญี่ปุ่น ยิ่งไปกว่านั้นมันได้เปลี่ยนแปลงรูปทรงใหม่เป็น Pictrogram เสมือนการสื่อความหมายบางอย่างด้วยภาพ รูปแบบใหม่ของมันทำให้ทฤษฎีผู้มาจากต่างมิติที่พยายามสื่อสารกับมนุษย์เริ่มก่อตัวขึ้น ความซับซ้อนของรูปทรงครอปเซอร์เคิล ทำให้ทฤษฎีพลาสมาไม่สามารถอธิบายรูปทรงนี้ได้ ในขณะที่คำกล่าวอ้างเรื่องแสงไฟประหลาดเหนือท้องทุ่งยามดึก แล้วทำให้เกิดครอปเซอร์เคิลในรุ่งอรุณของทฤษฎียูเอฟโอ ก็ยังใช้เป็นหลักฐานไม่ได้ แต่มันก็ยังเป็นทฤษฎีที่ได้รับความสนใจมากที่สุด ในปีเดียวกันนี้เอง ชายชาวอังกฤษสองคนได้ออกมาเปิดเผยกับหนังสือพิมพ์ว่า ครอปเซอร์เคิลเป็นเรื่องหลอกลวงมันเกิดจากฝีมือของมนุษย์ เดฟ คอร์ลีและโดฟ โบเวอร์ (Dave Chorley and Doug Bower) อ้างว่าพวกเขาเป็นผู้สร้างมันขึ้นมารวมแล้วกว่า 1,000 แห่ง ตั้งแต่ปี 1978 โดยใช้ไม้กระดานขนาด 4 ฟุต และเชือกเป็นเครื่องมือ ในขณะเดียวกันก็มีนักหลอกลวงกลุ่มอื่นๆออกปฏิบัติการในยามค่ำคืนอย่างเดียวกับพวกเขาด้วย นิตรสารไทม์ฉบับวันที่ 23 กันยายน 1991 พูดถึงเรื่องนี้ว่า นี่คือการนำไปสู่จุดจบของเรื่องซึ่งเป็นหนึ่งในความลึกลับที่สุดของอังกฤษและของโลกแล้ว อย่างไรก็ตามปรากฏการณ์ครอปเซอร์เคิลก็ไม่ได้หายไปพร้อมกับการเผยตัวของนักหลอกลวงคู่นี้ แต่กลับพุ่งสูงขึ้นในปีต่อมาคือปี 1992 มันเป็นคลื่นลูกใหม่ที่มาพร้อมกับความสลับซับซ้อนของรูปทรงเรขาคณิต และขนาดอันมหึมาหลายร้อยฟุตในทุ่งบาร์เลย์ และ ทุ่งข้าวโพด พร้อมๆกับการแพร่ระบาดไปกว่า 10 ประเทศ และยังทำให้ตัวเลขนักวิจัยเพิ่มสูงขึ้น อีกด้านหนึ่งมันคือศิลปอันวิจิตรพิสดารบนท้องทุ่ง ซึ่งผลิตช่างภาพมืออาชีพมากมาย และเป็นจุดเริ่มต้นของธุรกิจสิ่งพิมพ์เกี่ยวกับครอปเซอร์เคิลที่เฟื่องฟูอยู่ทุกวันนี้


จนถึงปัจจุบัน มีครอปเซอร์เคิลเกิดขึ้นในช่วงฤดูร้อนที่อังกฤษรวมแล้วประมาณ 10,000 แห่ง ส่วนใหญ่เกิดทางภาคใต้ และ 90 เปอร์เซนต์อยู่ในรัศมี 50 ไมล์จากสโตนเฮน(Stonehenge) ครอปเซอร์เคิลบางแห่ง สื่อความหมายเกี่ยวกับจักรวาล แกแล็คซี่ บางแห่งสื่อความหมายเกี่ยวกับหายนะของโลกจากอาวุธนิวเคลียร์ และบางแห่งสื่อความหมายเกี่ยวกับผลร้ายของการทำลายสภาพแวดล้อม ในวันที่ 17 สิงหาคม 2001 นักวิจัยครอปเซอร์เคิลต้องตะลึงกับครอปเซอร์เคิลรูปแบบใหม่สองแห่งในทุ่งข้าวโพดใกล้กล้องโทรทรรศน์วิทยุ Chilbolton ที่ Hampshire อังกฤษ มันเป็นภาพกราฟิกของสัญญาณวิทยุที่ส่งจากโลกไปยังกลุ่มดาว M13 อีกแห่งหนึ่งเป็นภาพหน้าคนที่คล้ายภูเขาหน้าคนบนดาวอังคาร ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อครบรอบปี ได้เกิดครอปเซอร์เคิลแบบนี้ขึ้นอีก มันคือครอปเซอร์เคิลที่แสดงภาพของ E.T. ห่างจากที่ตั้งกล้องโทรทรรศน์ Chilbolton ราว 9 ไมล์ในวันที่ 15 สิงหาคม 2002 สำหรับนักวิจัยแล้ว ความพยายามของพวกเขาไม่ไร้ผล นักวิจัยได้พบเบาะแสบางอย่างที่อาจคลี่คลายปริศนานี้ได้ นั่นคือการพบความผิดปกติในลำต้นของพืชในครอปเซอร์เคิล ที่พวกเขาอ้างว่าสามารถแยกแยะความแตกต่างระหว่างของจริงกับที่มนุษย์สร้างขึ้นได้ ครอปเซอร์เคิลของจริงนั้นลำต้นของพืชที่ล้มซึ่งอยู่เหนือพื้นดินประมาณ 1 นิ้ว มีลักษณะโค้งงอไม่แตกหัก นอกจากนั้นโครงสร้างของเซลล์(cell Pit) ยังเปลี่ยนแปลง คือเซลล์ขยายตัวเหมือนได้รับความร้อน ด๊อกเตอร์ วิลเลียม เลเวนกูด (William C. Levengood) เชื่อว่าไม่ว่าอะไรก็ตามที่ทำให้เกิดครอปเซอร์เคิล มันต้องใช้พลังงานที่เร็วและหนาแน่นจนทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในเซลล์ นักวิจัยเชื่อว่าพลังงานที่ว่านั้นน่าจะเป็นไมโครเวฟ ทฤษฎีนี้เรียกว่า Microwave Transient Heating นักวิจัยยังอ้างการศึกษาผลกระทบของพืชในครอปเซอร์เคิล เปรียบเทียบกับพืชที่อยู่ใกล้เคียงซึ่งพบว่า เมล็ดพืชในครอปเซอร์เคิลมีอัตราการเจริญเติบโตเร็วกว่าเมล็ดพืชบริเวณใกล้เคียงถึง 45 เปอร์เซ็นต์


คอลลิน แอนดริวส์ (Colin Andrews) ภาพจาก BBC มีอีกทฤษฎีหนึ่งที่น่าสนใจไม่แพ้กัน เป็นของด๊อกเตอร์ คอลลิน แอนดริวส์ (Colin Andrews) นักวิทยาศาสตร์อังกฤษซึ่งศึกษาครอปเซอร์เคิลมาเป็นเวลา 17 ปี ในปี 2000 แอนดริวเปิดเผยผลวิจัยซึ่งได้รับทุนสนับสนุนจากมูลนิธิร็อกกี้เฟลเลอร์ว่า ราวๆ ร้อยละ 80 ของครอปเซอร์เคิลเป็นฝีมือของมนุษย์ ครอปเซอร์เคิลเหล่านี้ จะมีรูปทรงซับซ้อนและวิจิตรพิสดารส่วนที่เหลือซึ่งมีรูปทรงง่ายๆนั้น เขาเชื่อว่ามันเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของสนามแม่เหล็กในบริเวณนั้น ซึ่งทำให้เกิดกระแสไฟฟ้าและกระแสไฟนี้เองเป็นตัวการทำให้พืชล้มลง งานวิจัยที่พบว่าครอปเซอร์เคิลบางแห่งทำให้เครื่องใช้ไฟฟ้าเช่นไมโครโฟน หรือเครื่องบันทึกเสียงถูกรบกวนจนใช้การไม่ได้ รวมทั้งผู้ที่อยู่ในบริเวณนั้นจะรู้สึกปวดศีรษะหรือมีอาการคลื่นไส้ สนับสนุนทฤษฎีนี้ นักวิจัยบางคนเชื่อว่ามันเกิดจากพลังงานที่ตกค้าง
แต่ในปี 2000 ชายชาวอังกฤษกลุ่มหนึ่งได้ออกมาเปิดเผยตนเองว่าเป็นผู้สร้างครอปเซอร์เคิลที่วิจิตรพิสดารหลายสิบแห่งในภาคใต้ของอังกฤษมากว่า 11 ปี พวกเขาเรียกตนเองว่า Circlemakers โดยใช้คอมพิวเตอร์ร่างรูปแบบก่อน พวกเขาได้รับเชิญจากสื่อมวลชนให้สาธิตการสร้างครอปเซอร์เคิลที่มีความซับซ้อนหลายครั้ง ซึ่งพวกเขาทำได้จริงๆ และก็ไม่ได้ใช้ไมโครเวฟ ปัจจุบันพวกเขามีเว็บไซต์ที่แสดงผลงานและเสนอข่าวสารเกี่ยวกับครอปเซอร์เคิล ทุกวันนี้นักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่เชื่อว่ามีทฤษฎีเดียวเท่านั้นที่จะอธิบายครอปเซอร์เคิลได้ นั่นคือ ทฤษฎีมนุษย์เป็นผู้สร้างแต่อย่างไรก็ตาม นักวิจัยครอปเซอร์เคิล ก็ยังเชื่อเหมือนกับแอนดริวว่ามันไม่ทั้งหมดที่เกิดจากฝีมือมนุษย์ งานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ของนักวิจัยหลายกลุ่มจึงยังดำเนินอยู่ต่อไป Circlemaker คนหนึ่งพูดถึงเรื่องนี้ว่า ไม่มีใครอยากเชื่อคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์หรอก เพราะผู้คนต้องการเชื่อสิ่งที่เป็นความลึกลับมากกว่า “ สาธารณชนไม่ต้องการคำอธิบาย “เขากล่าว





ที่มา >>>http://th.wikipedia.org/wiki

โอเรกอน วอร์เท็กซ์ (OREGON VORTEX : GOLD HILL, OREGON)

โอเรกอน วอร์เท็กซ์ (OREGON VORTEX : GOLD HILL, OREGON) โอเรกอน วอร์เท็กซ์ ปริศนาสถานที่สุดพิศดารที่หาคำตอบไม่ได้

 พบกับสถานที่ที่ไม่ลึกลับแต่มันเป็นภาพลวงตาที่หาคำตอบไม่ได้
โอเรกอน วอร์เท็กซ์ เป็นสนามพลังงานแม่เหล็ก ตั้งอยู่ใน หุบเขาทองคำ (gold hill) โอเรกอน
ประเทศอเมริกา โดยสถานที่ตั้งแห่งนี้ ปรากฎการณ์แปลกๆ ที่น่าสนใจ




โอเรกอน วอร์เท็กซ์ (OREGON VORTEX : GOLD HILL, OREGON)
สถานที่นี้ตั้งอยู่ในอเมริกา พบกับสถานที่ที่ไม่ลึกลับแต่มันเป็นภาพลวงตาที่หาคำตอบไม่ได้ แนวแม่เหล็กที่ไขว้กันอยู่ใต้พื้นดิน สนามพลังผิดปกติ เมื่อคุณเข้าไปยืนในนั้นจะรู้สึกเหมือนเป็นตัวประหลาด จุดที่แม่เหล็กไขว้ทับกัน คุณรู้สึกได้ถึงความกดดัน มันผลักกันและกัน และหมุนรอบๆจนคุณทนไม่ไหว การยืด หรือหดตัวอย่างน่าใจหาย ไม่นับสถานที่แห่งนี้ยังมี โรงนาปริศนา ที่ทุกอย่างกลับตาลปัตรไปหมด ตัวของคุณจะเอียง ลูกกอล์ฟกลิ้งขึ้นเนินเองได้ ไม้กวาดตั้งได้เอง จนคุณอยากออกจากประสบการณ์แปลกประหลาดเหล่านี้สู่ โลกแห่งความจริง ที่ทุกอย่างพิสูจน์ได้





ไม่ว่าจะเป็นภาพหลวงตาที่เกิดขึ้นจากการหักเหของแสง หรือแรงโน้มถ่วง หรือ
แนวแม่เหล็กที่ไขว้กันอยู่ใต้พื้นดิน สนามพลังผิดปกติ เมื่อคุณเข้าไปยืนในนั้นจะรู้สึกเหมือนเป็นตัวประหลาด จุดที่แม่เหล็กไขว้ทับกัน

คุณรู้สึกได้ถึงความกดดัน มันผลักกันและกัน และหมุนรอบๆจนคุณทนไม่ไหว การยืด หรือหดตัวอย่างน่าใจหาย


ไม่นับสถานที่แห่งนี้ยังมี โรงนาปริศนา ที่ทุกอย่างกลับตาลปัตรไปหมด ตัวของคุณจะเอียง ลูกกอล์ฟกลิ้งขึ้นเนินเองได้ ไม้กวาดตั้งได้เอง จนคุณอยากออกจากประสบการณ์แปลกประหลาดเหล่านี้สู่ โลกแห่งความจริง ที่ทุกอย่างพิสูจน์ได้

ไม้กวาดตั้งได้เอง



From outside the shack, water (or a ball) is clearly running slightly downhill, nothing unusual about that



But from inside the shack, I perceive the overall interior space as level, so water (or a ball) appears to be running uphill.



ภาพลายเส้นนาชคา


ภาพลายเส้นนาชคา

ทะเลทรายในภาคใต้ของเปรู ได้มีลายเส้นเครื่องหมายหรืออาจเป็นสัญลักษณ์บางสิ่งบางอย่าง ปรากฏขึ้นอย่างดาษดื่นทั่วไปกินเนื้อที่หลายร้อยตารางไมล์ แต่ส่วนใหญ่พบอยู่ในระหว่างเมืองนาซคากับเมืองปัลปา ลักษณะมีการขีดเน้นอย่างจงใจและประณีต ลายเส้นเหล่านี้นิยมเรียกกันว่า "นาซคาไลน์"


นาซคาไลน์ มีหลายรูปแบบ ชนิดที่เป็นทรงเรขาคณิตก็มี ทรงสามเหลี่ยม สี่เหลี่ยม สี่เหลี่ยมคางหมู วงกลมเส้นหยัก เส้นแคบ ยาวกว่า 5 ไมล์ นอกจากนั้นยังมีรูปนก สัตว์เลื้อยคลาน ปลาวาฬ ลิง แมงมุม บางภาพก็คล้าย เครื่องปั้นดินเผาโบราณของชาวเมืองนาซคาที่อาศัยอยู่ริมฝั่งทะเล



นักโบราณคดีเชื่อว่าเป็นงานของชาวเมืองนี้อายุลานเส้นสันนิษฐานว่าตกอยู่ใน ยุค 100 ปีก่อนคริสตศักราชถึงคริสตศักราช 700นา ซคาไลน์ แม้จะดูทำขึ้นแบบง่ายๆ แต่คำนวณแล้วว่าต้องใช้เวลามาก ไม่ว่าจะเป็นการเกลี่ยหินหน้าทรายการจัดแนวหินให้เป็นเส้นตรง การออกแบบหาไอเดียเพื่อให้เหมาะกับภูมิประเทศ ซึ่งไม่มีฝนตกเลย อย่างน้อยก็พันปีมาแล้ว มีการเดาไปต่างๆ นานา บ้างว่าเป็นถนนก่อนประวัติศาสตร์ ฟาร์ม สนาม ยานอวกาศ เครื่องหมายหรือสัญญาณบอกเรื่องราวแก่สิ่งที่อยู่บนท้องฟ้า เช่น มนุษย์ต่างดาว หรือพระเจ้าในความเชื่อถือทางศาสนา แต่ในที่สุดก็ไม่มีใครรู้จริง นอกจากจะสันนิษฐานว่าเป็นผลงานทางศิลปะของอินเดียนแดงโบราณ



ทว่าไม่มีใครรู้เลยว่าชาวอินเดียนแดงโบราณสร้างมันขึ้นมาทำไม ?

ตั้งแต่มีผู้พบเห็นลายเส้นเหล่านี้ทางอากาศเมื่อปลายปี ค.ศ. 1920 ดร.พอล โคโซค เป็นคนแรกที่ได้รับทุนค้นคว้าสรุปผลจากการศึกษาว่า อาจเป็นปฏิทินทางดาราศาสตร์หรือไม่ก็เป็นปฏิทินทำนายเกี่ยวกับสายน้ำในหุบ เขา

ต่อมาในปี 1968 สถาน บันเนชั่นแนลจีโอกราฟฟีค ฝ่ายสังคมศึกษาพบว่า ลายเส้นต่างๆ ในพื้นที่เหล่านี้ตั้งอยู่ในจุดระหว่างกลางดวงอาทิตย์ และดวงจันทร์ขึ้นและตกในวันเวลาที่มันอยู่ห่างไกลจากเส้นศูนย์สูตรโลกที่สุด ตั้งแต่ในสมัยโบราณ แต่ข้อมูลเหล่านี้ยังไม่มีใครคาดคิดได้ว่ามันจะเป็นประโยชน์อะไรขึ้นมากับ การศึกษานาซคาไลน์ความประหลาดลึกลับของลายเส้นต่างๆ ในทะเลทรายเปรูยิ่งดูเหมือนท้าท้ายคำถามต่างๆ อาทิ ทำไมชาวนาซคาโบราณจึงทุ่มเทเวลาสร้างสรรค์ลายเส้นมโหฬารเหล่านี้มากมาย ทั้งที่บางอย่างพวกเขาอาจจะไม่เคยเห็นและผู้คนจะเห็นนาซคาไลน์ก็ต่อเมื่อมอง ลงมาจากอากาศเท่านั้น คนสำคัญที่สุดที่ทุ่มเทเวลาศึกษานาซคาไลน์ถึง 25 ปี คือ มาเรีย ไรเช่ เธอได้ถ่ายภาพและทำแผนที่งานของเธอเรียกว่า ลาส ลีเนียร์ รูปเครื่องหมายลายเส้นต่างๆ เป็นร้อยๆภาพ ซึ่งปรากฏอยู่บนทรายสูงทะเลทรายแห่งนี้ กินเนื้อที่สำรวจถึง 30 ไมล์ โดยอาศัยแผนที่จากสายการบินแพนแอมซึ่งทำไว้ก่อนกับความสนับสนุนจากสถาบัน เนชั่นแนลจีโอกราฟิคช่วยเหลือในงานของเธอ



มา เรีย ไรเช่ นักคำนวณชาวเยอรมันเธอทำแผนที่ภูมิศาสตร์แสดงทิศทางของดาววัดบนพื้นโลก บริเวณนาซคาไลน์ไว้อย่างละเอียด หลังจากวัดลายเส้นซึ่งเป็นรูปสี่เหลี่ยมคางหมูแห่งหนึ่ง เธอให้ความเห็นว่าบริเวณนั้นอาจเป็นสนามยานอวกาศจากมนุษย์ต่างดาว ซึ่งมาเยือนโลกเมื่อสมัยก่อนยุคประวัติศาสตร์ ลายเส้นรูปสี่เหลี่ยมคางหมูนี้ถ้าจะสันนิษฐานว่าเกิดจากความคิดของนัก เรขาคณิตบ้าๆ คนหนึ่งก็อาจเป็นข้อสันนิษฐานที่น่าฟัง เพราะจากลายเส้นที่ใหญ่โตและที่เล็กๆ ทอดก่ายกัน แม้จะมีระเบียบแต่ก็อ่านจุดประสงค์ไม่ได้ว่า เขาต้องการจะบอกอะไรและดูเหมือนว่าเขาไม่สู้จะคำนึงถึงลักษณะภูมิประเทศด้วย รูปทรงเรขาคณิตแบบสี่เหลี่ยมด้านไม่เท่าอีกบริเวณหนึ่ง ในหุบเขาใหญ่ใกล้ที่ทำการกสิกรรมของนาซคาซึ่งสามารถยืนมองจากหุบเขาอินเก นิโอก็เป็นสิ่งที่น่าประหลาดที่ว่มันถูกขีดขึ้นประกอบด้วย รูปสี่เหลี่ยมและสามเหลี่ยมไม่สับสนจากที่ลาดต่ำไปสู่ที่ลาดสูง และก็เช่นเดียวกันเช่นรูปทรงเรขาคณิตแบบต่างๆ ที่ค้นพบคือไม่ทราบจุดประสงค์นอกจากสันนิษฐานว่าอาจเป็นแบบฟอร์มของระบบการ ชลประทาน

" ลายเส้นทั้งหมด" มิสไรเช่ให้ข้อสังเกต " เป็นเส้นตรง ยาวเป็นไมล์ๆ ข้ามหุบเขาและภูเขา ไม่มีสักเส้นเดียวที่จะคดเคี้ยว มันเป็นแนวตรงอย่างน่าประหลาดทุกเส้น"


แล้ว ชาวนาซคาจะได้ประโยชน์อะไรจากลายเส้นเหล่านี้ เส้นตรงบางเส้นมีร่องรอยคล้ายเป็นจุดของยามทุกๆ 1 ไมล์ สงสัยกันว่าจะเป็นจุดสังเกตการณ์สำหรับการส่งข่าวแบบอินเดียนแดง แต่เหตุผลนี้ก็แทบนับไม่ได้ว่าเป็นเหตุผลลายเส้นที่น่าทึ่งอีกภาพหนึ่งคือ ลายเส้นของลิงในท่าคว้าจับอะไรบางอย่าง แขนซ้ายของมันวัดได้ยาวถึง40 ฟุต สังเกตลักษณะรูปร่างของมันคล้ายลิงหลายชนิด ขนดกเป็นปุย อาจเป็นลิงชนิดหนึ่งที่เรียกว่า คาปูชินซึ่งอยู่ในป่าเขตร้อนทางทิศตะวันออกของเทือกเขาแอนดิส ห่างไปจากจุดที่นั่นถึง 200 ไมล์ ศิลปินชาวนาซคาซึ่งคงจะรู้จักลิงชนิดนี้จากการบอกเล่าของพ่อค้าชาวป่า โดยที่ไม่รู้เรื่องทางสรีระของลิงชนิดนี้อย่างละเอียดออกมาเป็นว่าลิงตัวนี้ มี 4 นิ้วจากมือข้างหนึ่ง และอีกข้างหนึ่งมี 5นิ้วและหางซึ่งเกาะเกี่ยวกิ่งไม้ได้กลับม้วนขึ้นไปแทนที่จะห้อยลงตาม ธรรมชาติวิสัยของลิงชนิด







นอก จากนี้บริเวณทุ่งหญ้า ซึ่งมีนก รูปปลาวาฬว่ายน้ำ และสัตว์เลื้อยคลานอื่นๆโครงสร้างหลายภาพคล้ายคลึง กับเครื่องปั้นดินเผา ของชาวนาซคาโบราณดังกล่าว มากมาย ปลาวาฬเคลือบซึ่งสร้างในปลายสมัยคริสตวรรษที่ 3ก็ มีรูปคล้ายคลึงกับลายเส้นปลาวาฬซึ่งพบในทะเลทราย ต่างกันตรงที่ลายเส้นปลาวาฬที่พบมีห่วงห้อยไว้ด้วยคงคล้าย เป็นการประกาศความเป็นผู้พิชิต เช่นเดียวกับปลาวาฬเคลือบ ซึ่งสร้างไว้เป็นตัวแทนหรือสัญลักษณ์ความเก่งกล้าของผู้พิชิตปลาวาฬ นอกจากนั้นยังมีรูปคนเขียนไว้บนเนินเขา คล้ายคลึงกันกับเครื่องปั้นดินเผาโบราณของอินเดียนแดงนาซคาที่นี้มาถึงรูปนก ซึ่งสันนิษฐานตอนแรกๆ ว่าอาจเป็นรูปยานอวกาศ อย่างไรก็ดีลักษณะลายเส้นบ่งชัดว่าเป็นรูปนกต่างๆ กันถึง 18ภาพที่แจ่มชัดเป็นลายเส้นนกฮัมมิ่งเบิร์ด นกเป็นน้ำและนกทะเลซึ่งยาวถึง450 ฟุต แต่ภาพกลับเขียนไม่เต็มตัว

อลัน ซอว์เยอร์ นักประวัติศาสตร์ศิลป์ให้ความเห็นว่า " เรา แน่ใจว่ามันมีความหมาย แต่ก็ไม่รู้แน่ชัดว่ามันมีความหมายว่ายังไง เส้นต่างๆ โดยเฉพาะลายเส้นของนกประกอบด้วยเส้นลายเพียงเส้นเดียว ซึ้งไม่มีการลากตัดกันเลย บางทีอาจจะเป็นลายเส้นเกี่ยวกับความเชื่อทางศาสนา ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้นอาจสันนิษฐานได้ว่าพวกเขาคงยอมรับนับถืออะไรก็ได้ที่ ศิลปินเขียนขึ้น เช่นอย่างอินเดียนแดงเผ่าต่างๆ ยึดถือกัน โดยเขียนภาพขึ้นมาเป็นสัญลักษณ์เท่านั้น "เครื่อง หมายเคลือบดินเผาที่มีอยู่หมายถึงที่คล้ายคลึงภาพลายเส้นซึ่งปรากฏในทะเล ทราย ส่วนใหญ่จัดได้ว่ายังเป็นงานฝีมือระดับต่ำ แต่ว่างานเหล่านี้บอกถึงความอุดมสมบูรณ์ หลักประกันในเรื่องอาหารและชีวิตดร. ซอว์เยอร์กล่าวว่า

"ถ้าจะคิดตามแนวทางความคิดของศิลปินจากงานที่ค้นพบมันก็เป็นการแสดงออกถึง ความคิดของผู้แร้นแค้น สะท้อนสภาวะความรู้สึกออกมาจากวิญญาณ"


อีกแนวความคิดหนึ่งที่ได้มาจากภาพลายเส้นแมงมุมที่มีความยาวถึง 150 ฟุต ที่ถ่ายภาพไว้ตั้งแต่ปี ค.ศ.1963เปรียบเทียบกับภาพถ่ายลายเส้นนี้ในปัจจุบัน คล้ายกับว่าเป็นซากแมงมุมยักษ์ซึ่งนอนตาย

แต่ ปัจจุบันรอยเส้นนี้กำลังสูญหายไป จากพายุทรายบ้าง รถจิ๊บของนักท่องเที่ยว รอยย่ำบ้างนาซคาไลน์ ในไม่ช้าก็เร็วคงจะถูกทำลายไปดังกล่าว มันอาจเป็นสนามยานอวกาศอาจเป็นงานของนักเรขาคณิตผู้บ้าคลั่ง อาจเป็นโครงร่างของระบบชลประทาน อาจเป็นงานศิลป์ของชาวอินเดียนแดง อาจเป็นอะไรก็ได้ด้วยเหตุผลซึ่งสันนิษฐานจากข้อมูลต่างๆ เท่าที่มีอยู่ แต่ความจริงเกี่ยวกับความเป็นมาของมัน คงจะยังเป็นสิ่งประหลาด ที่ท้าทายการพิสูจน์ไปอีกนานเท่านาน


ข้อมูลจาก https://sites.google.com/site/rxypaedphankea/phaph-lay-sen-nach-kha

https://www.xing.com/go/invite/18762544

Area51

Area51 พื้นที่ต้องห้าม..ที่กำความลับกับคนทั้งโลก


จะว่าไปแล้ว ในโลกใบนี้ยังมีสถานที่ลึกลับหรือแปลกประหลาดยังพิสูจน์ไม่ได้อีกเป็นจำนวน มาก ไม่ว่าจะเป็นโบราณสถาน หรือดินแดนแห่งตำนานต่าง ๆ แต่สำหรับพื้นที่แห่งหนึ่งซึ่งเรียกว่า “เขตพื้นที่ 51” (Area 51) รวม อยู่ในกฎนี้ไหม มันคืออะไร แต่ถ้าคุณเป็นคนที่ชอบติดตามข่าวสารเกี่ยวกับสิ่งบินลึกลับ (จานบินนั่นแหละ) เชื่อว่าคงเคยได้ยินชื่อนี้กันมาบ้างไม่มากก็น้อย แอเรีย 51 คือ ฐานทัพลับของกองทัพอากาศสหรัฐ ซึ่งตั้งอยู่โดดเดี่ยวลึกเข้าไปในบริเวณต้องห้ามอันกว้างขวางของรัฐบาล ซึ่งตั้งอยู่ในทะเลทรายเนวาด้า ซึ่งหากคุณๆคิดจะไปเฉียดกรายกันล่ะก็ ลองใช้เวลาสัก 2 ชั่วโมงขับรถไปทางตะวันตกเฉียง หเนือของลาสเวกัส บริเวณที่เป็นที่รู้จักกันดี และมีข่าวลือเกี่ยวกับการทดลองของกองทัพสหรัฐนั้น ได้แก่ Groom Lake และ Papoose Lake ครับ
โดยทั่วไปเชื่อว่า แอเรีย 51 นี้ เป็นสถานที่ที่ใช้ฝึกและพัฒนาสำหรับโคงการลับที่สุดของทางทหาร โดยเฉพาะ เครื่องบินสอดแนมและเทคโนโลยีทางการบินที่แอบพัฒนากันอยู่ ข่าวลือเกี่ยวกับแอเรีย 51 นี้เริ่มมีหนาหูขึ้น จนประชาชนสงสัยว่าจริงๆแล้ว มีอะไรซ่อนอยู่ที่ฐานทัพแห่งนี้ มีประชาชนจำนวนหนึ่งออกมารายงานว่า ได้เห็นวัตถุประหลาดลอยอยู่เหนือฐานทัพ และหลายคนกล่าวว่า กองทัพได้ใช้ฐานทัพนี้ ในการศึกษาจานบินและมนุษย์ต่างดาวที่พวกเขาจับกุมกันมาได้ด้วย
เขตพื้นที่ 51 เป็นชื่อเรียกของพื้นที่เขตหวงห้ามของรัฐบาลสหรัฐตั้งอยู่ทางเหนือของลาสเวกัสประมาณ 95 ไมล์ และ 13 ไมล์ทางตะวันตก ทางหลวงสายที่ 375 บนถนนกรูมเลค (Grom Lake Road) ใกล้กับเมืองราเชล (Rachel) พื้นที่นี้ล้อมรอบไปด้วยเขตทดลองของรัฐเนวาด้า (The Nevada Test Site) และเป็นที่ตั้งของฐานทัพอากาศเนลลิส (Nellis Air Force Range) ที่เรียกว่าพื้นที่ 51 ก็เพราะเป็นชื่อจุดที่ตั้งซึ่งปรากฎบนแผนที่ ของเขตทดลองเนวาดา
ที่แห่งนี้มีการร่ำลือกันมานานแล้วว่าเป็น ที่ที่ใช้ซ่อนจานบินและมนุษย์ต่างดาวซึ่งตกในรอสเวล (Roswell) และ รัฐบาลได้ปกปิดเรื่องนี้อย่างสุดฤทธิ์แต่ดูเหมือนยิ่งปิดก็ยิ่งกระตุ่น ต่อมอยากรู้ของผู้คนทั่วไป โดยมีการอ้างถึงเรื่องราวต่าง ๆ ของผู้ที่เกี่ยวข้องและ ไม่เกี่ยวข้อง รายที่โด่งดังที่สุดก็เห็นจะเป็นรายของ บ๊อบ ลาซาร์ (Bob Lazar)
บ๊อบ ลาซาร์ เป็นชาวลาสเวกัส เขาอ้างว่าเคยทำงานอยู่ในเขตพื้นที่นี้ในช่วงปี 1988 – 1989 โดย ทำหน้าที่เป็นเจ้าหน้าที่พิเศษแผนกอากาศยาน เขากล่าวว่าในเขตพื้นที่นี้มีเทคโนโลยี่ที่ทันสมัยมาก และเขายังได้เห็น วัตถุสิ่งบินขนาดใหญ่สิ่งหนึ่ง ซึ่งเขาบอกได้เลยในทันทีว่านั้นเป็นจานบินอย่างแน่นอน เขาบอกว่าวัตถุสิ่งบินที่ลึกลับนี้อยู่ในส่วนที่เรียกว่า เอส-โฟร์ (S-4) ในปาปูส เลค (Papoose Lake) ซึ่ง อยู่ทางใต้ของกรูมเลค ที่นั่นถูกก่อสร้างให้พรางตา กลมกลืนไปกับพื้นทะเลทรายโดยรอบ หากดูอย่างผิวเผินแล้วจะไม่มีทางสังเกตเห็นอย่างแน่นอน นอกจากนี้ลาซาร์ ยังบอกว่าเขาได้พบมนุษย์ต่างดาวภายในนี้ด้วย โดยบอกว่าเป็น “สิ่งมีชีวิต” ที่สูงประมาณ 3-4 ฟุต หนักประมาณ 35-50 ปอนด์ มีผิวสีเทาและมีศีรษะที่ใหญ่มาก
เหมือน เติมเชื้อฟืน หลังจากการให้สัมภาษณ์ทางโทรทัศน์ของลาซาร์ เผยแพร่ออกไป ผู้คนที่สนใจเรื่องนี้จากเดิมที่เคยมาสอดแนมเป็นบางครั้งบางคราว กลับกลายเป็นผู้คนจากทั่วทุกสารทิศ ต่างหลั่งไหลมาคอยจับตา ดูสิ่งบินลึกลับตามที่ลาซาร์บอก และก็มีจำนวนมากเหมือนกันที่บอกว่าเคยเห็นด้วย แต่ทว่าผู้คนที่อาศัยอยู่แถบบริเวณนั้นกลับบอกว่าไม่เคยเห็นมีอะไรผิดปกติ เกิดขึ้นแต่อย่างใด
แน่ นอนที่ทางรัฐบาลสหรัฐย่อมไม่อยู่เฉยอยู่แล้ว โดยโต้กลับว่าสิ่งที่ผู้คนส่วนใหญ่เห็นและอ้างว่าเป็นจานบินนั้น แท้จริงแล้วคือเครื่องบินรุ่นใหม่ ๆ ของกองทัพอากาศต่างหาก โดยทางกองทัพมักจะใช้ที่นี่เป็นสถานที่ทดลองอากาศยานรุ่นใหม่ ๆ ก่อนที่จะออกสู่สายตาสาธารณชน เช่น U-2, A-12, SR-71 และ F-117A นอกจากนี้ยังรวมถึงเครื่องบินรุ่นใหม่ล่าสุด 2 ชนิดคือ เครื่องบินสอดแนมความเร็วสูงที่เรียกว่า Aurora และเครื่อง B-2 ที่จะมาแทน F-117A ซึ่งมีขนาดเล็กกว่า
อย่างไรก็ตาม ถ้าหากใครอยากจะมาดูจริง ๆ ละก็ลองขับรถมาประมาณ 130 ไมล์จากลาสเวกัส ขับตรงมาตรงจุดบอกหลักทางหลวงที่ 29.5 บนทางหลวงเนวาดาที่ 375 ที่ นั้นจะมีตู้รับไปรษณีย์เล็ก ๆ ตู้หนึ่งตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยว ซึ่งเดิมเป็นของพวกคนเลี้ยงวัวใช้กัน คุณสามารถใช้ตู้รับไปรษณีย์นี้เป็นจุดสังเกตเพื่อสอดส่องดูฐานทัพดังกล่าว ได้ นักสังเกตการณ์ หลายคนเคยมาปักหลักดูสิ่งลึกลับกันอยู่เรื่อย ๆ แม้ว่าพวกคนเลี้ยงวัวแถวนั้นจะบอกว่าไม่เคยเห็นอะไรเลยก็ตาม
อย่าง เคย ทางรัฐบาลสหรัฐบอกว่าที่นั่นมักจะมีการซ้อมรบอยู่เรื่อย ๆ โดยมีการยิงพลุและทำแสงแวบ ๆ อยู่ตลอดบนท้องฟ้า ดังนั้น สิ่งที่พวกนักสังเกตการณ์ทั้งหลายเห็นและคิดไปต่าง ๆ นานาน่าาจะเป็นการซ้อมรบดังกล่าวมากกว่า ยังมีจุดสังเกตการณ์อีก 2 จุดบนพื้นที่ที่เคยอนุญาตให้มาเฝ้าจับตากันได้ คือบริเวณใกล้กับแนวเขตไวท์ไซด์ (White Side) กับ ฟรีด้อม ริดจ์ (Freedom Ridge) ผู้คนทั่วไปสามารถมาคอยจับตาดูความเป็นไปของฐานทัพอากาศเนลลิสดังกล่าวได้โดยไม่ผิดกฎหมาย แต่อย่างใด แต่กว่า เสียดายที่ 2 จุดดังกล่าวถูกกองทัพอากาศสั่งปิดเมื่อเดือนเมษายน ปี 1995 นี้เอง
ยัง…ยังมีอีกจุดที่น่าจะพอเฝ้าดูได้บ้างห่าง ๆ คือบริเวณยอดเขาติคาบู (Tikaboo Peak) จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าหากมีการทะเร่อทะร่าเข้าไปในเขตห่วงห้ามของ Area 51 แน่ นอนที่จะต้องมีพวกกองกำลังรักษาความปลอดภัยคอยลาดตะเวนอยู่ โดยพวกเขาจะสวมชุดทหารพราน แต่จะไม่ติดเครื่องหมายแสดงยศแต่อย่างใด และจะขับรถจี๊ปเชโรกีสีขาว พร้อมแผ่นประกาศของรัฐบาล ผู้ละเมิดจะถูกจับกุมทันที่ พร้อมถูกปรับอย่างน้อย 600 เหรียญ หรือสองหมื่นสี่พันบาท
จนบัดนี้รัฐบาลก็ยังปิดปากเงียบว่าสถานที่นี้ใช้ประโยชน์ในเรื่องใดกันแน่
เมื่อ พูดถึงเรื่องจานบินหรือมนุษย์ต่างดาวก็คงหนีไม่พ้นจากชื่อสถานที่ Area 51 นี่กันหรอกครับ Area 51 มีพื้นที่ไม่มากนักในทะเลทรายรัฐเนวาด้า ของประเทสสหรัฐอเมริกา เป็นสถานที่ของทหารที่โด่งดังมาก ว่าเกี่ยวข้องกับจานผีเอเลี่ยน อย่างที่ทราบกันนะครับว่า สหรัฐมี 50 รัฐ(ฮาวายเป็นรัฐที่ 50) ซึ่งการเป็นรัฐนั้น ต้องเป็นพื้นที่ที่ให้ความสำคัฐกับประเทศมากครับ ดังนี้ Area 51 จึงแปลตรงๆ ว่ารัฐที่ 51

สถานที่แห่งนี้ แฝงไปด้วยความลับของทางราชการมากครับ มีนักข่าวไปป้วนเยนอยู่เสมอแต่ก็ไม่ได้เห็นอะไรมากไปกว่าแสงประหลาด ตอนกลางคืน ที่ลอยอยู่เหนือ Area 51 ลับถึงขนาดที่ว่า C.I.A. Central Intelligence Agency ของอเมริกาเองเคยเสียสปายจารกรรมให้สถานที่แห่งนี้ไปถึง 40 คน    

     
บ้อบ โรเบิร์ต ลาซาร.์ นักวิทยาศาสตร์ผู้หนึ่งมาเผยแพร่เรื่องให้สื่อมวลชนทึ่งเกี่ยวกับ Area 51 ว่าเขาเคยทำงานในที่แห่งนี้มาแล้ว บ็อบเล่าให้ฟังว่าแต่ก่อนนี้เขาเป็นนักฟิสิกส์ ทำงานที่ ลอส อะลามอส (ศูนย์ค้นคว้านิวเคลียร์ของอเมริกา) แต่ก็ได้ถูกโยกย้ายมายัง Area 51 บ็อบกล่าวว่าในเขต Area 51 นั้นมีฐานปฎิบัติการใต้ดินอยู่ลึกลงไปหลายชั้น มีนักวิทยาศาสตร์ทำงานอยู่หลายคน และมี ร.ป.ภ.ที่เข้มงวดมากและพวกเขาเหล่านั้นล้วนศึกษาเกี่ยวกับ ระบบการทำงานของจานบินทั้งสิ้น


ทหารจะเรียกที่นี่เป็นรหัสว่าศูนย์ S4 ลับสุดยอด ซึ่งแม้แต่ประธานาธิบดีสหรัฐ ยังไม่มีสิทธิจะเข้ามา นอกจากที่บ็อบจะได้ศึกษาตัวยานแล้ว ยังได้อ่านเอกสารเกี่ยวกับแหล่งพลังงานของจานบินด้วย เขาอธิบายว่าจานบินนั้นใช้กระบวนการไฮโดรแมกเนติก คือเป็นการใช้ธาตุบางอย่างที่หาได้ตามดาวในจักรวาลทำปฏิกิริยานิวเคลียร์รี แอกชั่น เป็นเตาปฏิกรณ์ที่ยิงพลังงานด้วยโปรตอน ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ใน Area 51 นี้กำลังคิดสร้างเตาปฏิกรณ์แอททิแมทเทอร์ขึ้นมาเลียนแบบ แต่ก็ยังไม่สำเร็จ

หลังจากที่บ็อบออกมาประกาศแก่สื่อมวลชน รัฐบาลสหรัฐก็ออกหมายจับทันที ตอนนี้เขาเป็นอย่างไรผม็้ไม่ได้ติดตามข่าวล่ะครับ สำหรับความลึกลับของ Area 51 ก็ยังไม่จบง่ายๆ นะครับ รัฐบาลสหรัฐจะออกมาแถลงเมื่อโดนถามถึงเสมอๆว่าเป็นเพียงศูนย์การค้นคว้าด้าน เครื่องบินของด้านการทหาร ซึ่งก็จริงครับ เครื่องบินเสตลธ์สร้างสำเร็จที่นี่ ได้รับสมยานามทางทหารว่า "ปีศาจล่องหน" เพราะเคลือบด้วยวัสดุพิเศษทำให้เครื่องบินหลบเรดาร์ของข้าศึกได้ แต่รัฐบาลสหรัฐก็ไม่เคยยอมบอกว่าวัสดุที่เคลือบนั้นเอามาจากไหนและทำไมถึง หลบเรดาร์ได้ ทั้งยังมีข่าวลือแปลกๆอยู่เสมอ ล่าสุดก็มีข่าวว่า Area 51 จะย้ายออกจากรัฐเนวาด้า ไปยังที่ลับๆ ปราศจากสื่อมวลชนที่คอยตามข่าว





พลังขับเคลื่อนยานของมนุษย์ต่างดาว
แหล่งพลังงานของยานบินคือ แอนทิแมทเทอร์ รีแอคเตอร์ (เครื่องปฏิกรณ์ยิงระเบิดสสารที่ประกอบด้วยอนุภาคที่เหมือนกัน แต่มีประจุไฟฟ้าตรงกันข้ามด้วยโปรตรอน) มีท่อกลวงตรงกลางยานจากพื้นขึ้นไปถึงยอด ซึ่งอาจเรียกว่าเป็นท่อเหนี่ยวนำคลื่นพลังโน้มถ่วงหรือพลังไฟฟ้าที่ผ่านเข้า ไปในนั้น ช่วงล่างของท่อจะเชื่อมติดกับตัวแอนทิแมทเทอร์รีแอคเตอร์ ซึ่งมีลักษณะรูปร่างคล้ายครึ่งวงกลมคว่ำลง ติดกับพื้นของยาน ท่อกลวงตรงกลางหรือท่อเหนี่ยวนำจะเป็นท่อยาวต่อไปจนถึงยอดบนของยาน

เครื่อง ปฏิกรณ์มีขนาดใหญ่เท่ากับลูกบาสเกตบอล ลักษณะคล้ายครึ่งวงกลมคว่ำลงบนแผ่นโลหะเล็กๆ มันจะส่งสนามพลังหรือสนามกำลังดึงดูดออกมาโดยรอบ ซึ่งในช่วงเวลาที่มันทำงาน ก่อให้เกิดแรงผลักคล้ายแม่เหล็กสองแท่งที่มีขั้วเหมือนกันกระทำปฏิกิริยาต่อ กัน สารหรือธาตุที่เป็นองค์ประกอบเชื้อเพลิงยิ่งน่าสนใจมาก มันคือธาตุที่ 115 ซึ่งตามทฤษฎีกล่าวว่า มันจะปรากฏอยู่รอบๆ ธาตุ 113-114 กลายเป็นธาตุที่มั่นคงและมีการรวมโปรตรอนกับนิวตรอนก่อให้เกิดธาตุใหม่ซึ่ง สามารถนำไปใช้ได้ หากยิงอนุภาคพลังงานด้วยโปรตรอนมันก็จะแตกธาตุจนถึงธาตุ 116 และปล่อยสสารแอนทิแมทเทอร์ออกมา ซึ่งนั่นคือมันจะทำปฏิกิริยากับสสารซึ่งเรียกว่า "ปฏิกิริยาแอนนิไฮโลชั่น"  

             


ปฏิกิริยา พื้นฐานดังกล่าวก่อให้เกิดพลังแม่เหล็กไฟฟ้า ตามท่อเหนี่ยวนำมากขึ้นๆ และพลังที่เพิ่มขึ้นมากมายมหาศาลนี้เอง ที่ถูกนำไปใช้กับอะไรก็ได้ตามที่พวกเขาต้องการ

ธาตุที่ 115 ไม่ได้เกิดขึ้นบนโลก และไม่สามารถสังเคราะห์ได้เนื่องจากเป็นธาตุที่หนักมาก จากแหล่งข้อมูล ทุกฝ่ายระบุว่าธาตุนี้พบตามธรรมชาติบนโลกหรือดาวเคราะห์ที่ใหญ่กว่าโลกมาก อาจเป็นโลกที่มีพระอาทิตย์สองดวง ในแต่ละครั้งจานบินหรือยานของมนุษย์ต่างดาวจะใช้ธาตุ 115 จำนวนมากถึง 223 กรัม

การที่จานบินบินด้วยความเร็วสูง การบินเลี้ยวกลับเป็นมุมฉาก การหยุดนิ่งกลางอากาศและการเร่งความเร็วของจานบินและการดับเสียงโซนิคบูม รวมถึงการเร่งความเร็วขนาด 22,000 ไมล์ต่อชั่วโมงหรือมากกว่านั้น กล่าวกันว่า จานบินอาจใช้วิธีอาศัยสนามแรงโน้มถ้วงเทียม หรือบางทีอาจใช้คุณสมบัติพิเศษของมิติและกาลเวลา ซึ่งโลกเรายังไม่คุ้นเคยก็เป็นไปได้




ข้อมูลจาก   www.fwdder.com           

แจ๊ค เดอะ ริปเปอร์

ปริศนา แจ๊ค เดอะ ริปเปอร์.

เรื่องนี้ ยังคงเป็นปริศนาต่อไป และน่ากลัวกว่าที่คิดไว้เยอะ ปริศนาอันดับ 1




ที่ยังคงค้างคาใจเรา ฆาตกรต่อเนื่อง แจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ อาชญากรระดับโลกที่ยังจับตัวไม่ได้ 
การสังหารอย่างโหดเหี้ยมเหยื่อหลายรายติดๆกันถูก กล่าวขานถึง ในย่านอีสต์เอนด์ของลอนดอน สร้างชื่อกระฉ่อนถึงความน่าสะพรึงกลัว ไม่เพียงแต่ไร้วี่แววของฆาตกร 

การพิสูจน์หรือทดสอบด้านนิติวิทยาศาสตร์ยังไม่พัฒนาเท่าที่ควร จึงไม่มีเหตุผล หรือหลักฐานหนักแน่นในการมัดฆาตกร จากคดีฆาตกรรมที่โด่งดัง 
ทำให้มีผู้ต้องสงสัยเกิดขึ้นมากมาย หลักฐานสำคัญต่างๆ ถูกผุดขึ้นมาภายหลัง จะเป็นไปได้มั้ย ที่จะสืบสาวหาฆาตกรตัวจริงได้ แม้ฆาตกรคนนั้น 
อาจไม่มีชีวิตอยู่ให้จับแล้วก็ตาม แต่ก็ยังดีที่ได้รู้ว่าฆาตกรตัวจริง ผู้นั้นคือใคร ?




เขาคือฆาตกรที่คนรู้จักกันทั่วโลก เขาคือฆาตกรที่มีแฟนคลับมากที่สุดในโลก ทั้ง ๆ ที่คดีที่เขาก่อเทียบไม่ได้กับความโหดในยุคปัจจุบัน 
แต่จุดเด่นคือความลึกลับ ปริศนาที่พยานหลายคนให้การต่าง ๆ ไม่เหมือนกันเลยสักคน เขาคือใครกันแน่ ทำแบบนี้เพื่ออะไร 
และทำไมเขาถึงหายไปหลังจากจัดการเหยื่อรายสุดท้าย

มารู้จักสถานที่เกิดเหตุคดีในตำนานดีกว่า

    ย้อนไปใน ลอนดอน เมื่อ ค.ศ. 1888 เป็นช่วงเวลาของ เจ้าหญิงวิคตอเรีย เป็นยุคที่ถือว่า เจริญรุ่งเรือง มาใน ลอนดอน ยุคนั้น แต่อีกด้านนึงคือ  ตรอกไว้ท์แช็พเพล 
สถานที่นี้อยู่ในเขตอีสต์เอ็นต์ของลอนดอน บริเวณดังกล่าวขึ้นชื่อว่าเป็นพื้นที่ที่ยากจนที่สุดของลอนดอนและเป็นแหล่งเสื่อมโทรมที่อัปยศหดหู่ที่สุดในประเทศ จนได้รับฉายาว่าเป็น
แผลเน่าบนความยิ่งใหญ่ของลอนดอนเมืองหลวงที่ยิ่งใหญ่แห่งหนึ่งของโลก




ประชากรที่นี้อาศัยอยู่ราว 90,000 คน คนส่วนใหญ่ในย่านนี้ว่างงานและยากจน ต้องหาเช้ากินค่ำมีชีวิตไปวัน ๆ อาชีพที่นิยมในย่ามนี้คือขายบริการโดยเฉพาะผู้หญิง 
รวมทั้งหัวขโมย นักย่องเบา คนจรจัดที่ไร้ที่อยู่อาศัย

ในปี 1888 ที่เกิดคดีสังหารต่อเนื่องขึ้น ทั่วกรุงลอนดอนมีโสเภณี 1200 คน อยู่ในเขตอี๊สต์ มีถึง 237  โสเภณีมักถูกคุกคามจากพวกแก๊งจารชน ฆาตกรที่หวังทรัพย์สินของผู้ตาย 
หากพวกเธอขัดขืนก็ถูกฆ่าตาย ซึ่งเกิดขึ้นหลายครั้งมาก แต่ไม่ค่อยมีใครสนใจกับเหตุการณ์นี้มากนัก เพราะถือว่าเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบ่อยในย่านนี้
จนกระทั้งมันเกิดคดีนี้ขึ้น และมันทำให้ไว้ท์แซ็พเพลเป็นที่รู้จักกันไปทั่วโลกขึ้นมาทันใด


เหยื่อรายที่ 1  แมรี่ แอนน์ นิคอลส์ เกิดเมื่อวันที่ 26 ส.ค. 1845 เธอแต่งงาน กับ วิลเลี่ยม นิคอลส์ ในปี 1864 มีลูกด้วยกัน 5 คน 
เขาและแมรี่ แยกทางกัน แมรี่ จึงไปเป็น โสเภณี เพื่อเลี้ยงดูชีพ ในระหว่างปี 1883-87 เธอไปอยู่กับพ่อของเธอ............  จนกระทั้ง วันที่ 31สิงหาคมค.ศ.1888

  ชารล์ส คร้อสส์ พนักงานขับรถ  กำลังเดินผ่านบริเวณคอกแพะตอนตี 4 ของวันที่ ตอนนั้นยังไม่สว่างเท่าไหร่นัก และอากาศยังชื้นอยู่ ซึ่งก็ถือว่าเป็นปกติของกรุงลอนดอน ตอนที่ชารล์สกำลังจะเดินเข้าบ้านนั้น 
ก็ได้เห็นบางสิ่งนอนอยู่บนพื้นดินบริเวณหน้าบ้าน ซึ่งดูคล้ายกับผ้าใบหรืออะไรสักอย่าง จึงได้เดินเข้าไปดู จึงได้เห็นว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งนอนอยู่ และเห็นชายอีกคนกำลังเดินมาทางนี้ ชารล์สจึงเรียกชายคนนั้น
(ภายหลังก็รู้ว่า โรเบิร์จ พอล พนักงานขับรถเหมือนกัน) คือเพื่อที่จะให้มาช่วยกันเพราะนึกว่าผู้หญิงที่นอนอยู่กำลังเมาหรืออาจจะโดนทำร้าย ทั้งสองจึงพยายามที่จะช่วยเธอในบริเวณนั้นที่ยังมืดอยู่ 
แต่พอทั้งคู่เห็นว่าผู้หญิงคนนี้มีบาดแผลที่บริเวณลำคอที่เกือบทำให้ศีรษะขาด จึงตกใจมากและรีบไปแจ้งตำรวจ และไม่กี่นาทีต่อมาก็พาตำรวจมายังบริเวณที่เกิดเหตุ 

นายตำรวจ จอห์น นีล ก็ได้เห็นถึงสภาพอันน่ากลัวของเธอ มีรอยเลือดไหลออกมาจากลำคอที่เกือบขาดและหู ดวงตาของเธอเบิกกว้าง มือและเท้าเริ่มเย็น เมื่อเห็นว่าไม่ได้การแน่แล้ว 
นีล จึงเรียกตำรวจและหมอกับรถพยาบาลมายังที่เกิดเหตุ จากนั้นจึงเดินไปยังบ้านละแวกใกล้เคียงเพื่อสอบถามถึงสิ่งหรือเสียงที่ผิดปกติหรือน่าสงสัยแต่ก็ไม่ได้เรื่องอะไร 

   ต่อมา นายแพทย์รัสส์ ร้าล์ฟ ลิเวนลีน ก็มาถึงและลงมือชันสูตร และชี้ถึงสาเหตุการตายว่าคือบาดแผลฉกรรจ์ที่ลำคอจนทำให้เธอถึงแก่ความตาย แต่ทว่ายังมีบางส่วนต่างของร่างกายของเธอยังอุ่นอยู่ 
และตายไม่เกินกว่า 1 - 2 ชั่วโมงที่ผ่านมา หรืออาจจะแค่ไม่กี่นาทีหลังจากที่นายชารล์ส เดินมาพบเธอก็ได้ ซึ่งตรงนั้นน่าจะเป็นบริเวณที่เธอถูกฆาตกรรม ซึ่งมีเลือดเปรอะพื้นอยู่ และเสื้อผ้าของเธอก็ชุ่มไปด้วยเลือด 
บนคอของเธอมีรอยกรีดด้วยของมีคมถึง 2 ครั้งด้วยกัน เสื้อผ้าเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดและเยื่อบุช่องท้องได้รับบาดเจ็บ

จากผลการชันสูตรได้พบรอยถลอกบนขากรรไกรเหลืออยู่บาดแผลที่ช่องท้องที่แสดงรอยมีดที่ขรุขระและลึก ซึ่งคาดว่าผู้ที่ลงมือน่าจะถนัดซ้ายเพราะจากบาดแผลเหล่านี้และความยาวใบมีด เห็นได้ชัดว่าฆาตกร
น่าจะมีความรู้ด้านกายวิภาคไม่น้อย

ภายหลังหมอชันสูตรศพเสร็จแล้ว  ตำรวจได้พา วิลเลี่ยม นิคอลส์กับลูกชายคนที่ 3 มาตรวจศพ เมื่อวิลเลี่ยมเห็นสภาพศพที่ถูกทำลายยับเยินถึงกับเอ่ยว่า

"เห็นเธอเป็นแบบนี้แล้ว ฉันยกโทษในสิ่งที่เธอทำมาในอดีตทั้งหมดเลย"

ศพของแมรี่ แอนน์ นิคอลส์ถูกฝังในสุสารวิลฝอร์ดเมื่อวันที่ 6  กันยายน 1888

ขณะตำรวจกำลังมืดแปดด้าน ก็มีชายผู้หนึ่งให้ความช่วยเหลือ บอกว่า สงสัยว่าจะเป็นชายอันธพาลคนหนึ่งที่มีฉายา "ผ้ากันเปื้อนหนัง"  ชอบรีดไถโสเภณี และขู่ว่าจะฆ่า 
หลายต่อหลายครั้ง ตำรวจทราบจึงจะเข้าจับคุม แต่คนร้ายไหวตัวทันหนีไปหลบ ในบ้านญาติ ทำให้ตำรวจไม่สามารถจับตัวได้
และหลังจากนั้น 8 วัน หลังเหตุการณ์ แมรี่ แอนน์ นิคอลส์ก็เกิดคดีแบบนี้ขึ้นอีกและตำรวจก็พบหลักฐานชิ้นเดียวของคดีฆาตกรรมต่อเนื่องนี้ "เศษผ้ากันเปื้อน"


(อ่านเพิ่มเติมได้ที่) -http://www.cmxseed.com/cmxseedforumn/index.php?topic=44552.0

สัตว์ประหลาดแห่งล็อกเนส

ปริศนา สัตว์ประหลาดแห่งล็อกเนส.

 บนโลกนี้มีเรื่องให้พิสูจน์อีกมาก อย่างที่เรากำลังจะพาไปเยี่ยมเยือนสัตว์ประหลาดแห่งทะเลสาบล็อกเนสในสก็อต แลนด์ เรื่องเล่าที่โด่งดังเกี่ยวกับ 
สัตว์รูปร่างประหลาด เนสซี่ ตัวใหญ่ประมาณ 15 - 40 ฟุต มักโผล่ขึ้นมาให้เห็นเป็นครั้งคราว หลายคนสนใจติดตามจับภาพสัตว์ประหลาดตัวนี้ 
แล้วบางอย่างก็เป็นจริง 

มีภาพของวัตถุลึกลับเคลื่อนไหวอยู่ในทะเลสาบชื่อก้องนี้แต่ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าเป็นตัวอะไรกันแน่ ถึงอย่างไรคนหลายคน 
ต่างเชื่อว่า เนสซี่ สัตว์ประหลาดแห่งล็อกเนส มีรูปร่างคล้ายไดโนเสาร์ คอยาว มีครีบ นั้นมีอยู่จริง แต่เราจะได้เห็นหรือไม่คงต้องขึ้นอยู่กับตัวเนสซี่เอง



 



เนสซี่ สัตว์ประหลาดแห่ง ล็อคเนส





  นับจาก ค.ศ.565 ซึ่งเป็นครั้งแรกที่มีการบันทึกเรื่องเกี่ยวกับ “สัตว์ประหลาดขนาดยักษ์” ในทะเลสาบล็อคเนส สกอตแลนด์ เป็นครั้งแรก 
จนถึงวันนี้ก็ปาเข้าไป 1,443 ปีแล้ว ที่เรื่องนี้ยังคงเป็นปริศนาไม่มีใครรู้แน่ว่า เจ้าสัตว์ที่ถูกขนานนามว่า “เนสซี” นี้มีตัวตนจริง หรือไม่ 
แม้จะมีรายงานว่า มี คนพบเห็นมากกว่า 4,000 ครั้ง แต่ก็ยังไม่มีข้อสรุป 

การไล่ล่าหาเนสซีมีมาอย่างต่อเนื่อง โดย เฉพาะอย่างยิ่ง ในปีที่แล้ว ซึ่งเกิดการตามล่าสัตว์ ที่ว่ากันว่า น่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตดึกดำบรรพ์หลงยุคนี้กันยกใหญ่ 
เมื่อบริษัท วิลเลียม ฮิลล์ ผู้ประกอบการ รับพนันที่ถูกกฎหมายของอังกฤษได้ออกมาประกาศ ว่า 

หากใครสามารถ พิสูจน์ถึงการมีอยู่ของเนสซีตัวเป็นๆ แล้วล่ะก็ เอาไปเลย 1 ล้านปอนด์ หรือคิดเป็น เงินไทยก็ 70 ล้านบาทเหนาะๆ

งานนี้ วิลเลียม ฮิลล์ตั้งความหวังว่าเงินรางวัลล่อใจนี้จะช่วยคลาย “ปมปริศนาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งยุคสมัย” แต่เอาเข้าจริงๆ แม้จะมีการตามล่ากันแบบโกลาหล 
ก็ยังไม่มีใครเข้า ใกล้รางวัลใหญ่ที่ว่ายกเว้นหนุ่มหน้ามลคนอังกฤษนามกอร์ดอน โฮล์มส์ พนักงานห้องปฏิบัติการวิทยาศาสตร์จากยอร์กเชียร์ 
ที่สามารถถ่ายวีดิโอภาพที่ว่ากันว่า เป็นภาพเนสซีที่ชัดที่สุดในประวัติศาสตร์ สร้างความฮือฮา อย่างน่าตื่นเต้น
 

กระทาชายนายโฮล์มส์ที่ไม่ได้เป็นญาติอะไรกับนักสืบนามกระเดื่องในนิยายชุด เชอร์ล็อค โฮล์มส์ ให้การว่า ตอนที่กำลังนั่งเอ้เต้ชมวิวทิวทัศน์อยู่เหนือทะเลสาบล็อคเนส
ในวันที่ 28 พฤษภาคมปีที่แล้ว จู่ๆ ก็เห็น “อะไรบางอย่าง” กำลังเคลื่อนไหวอยู่บนผิวน้ำ

เห็นอย่างนั้นพี่แกก็ไวทายาด รีบกระโจนไปคว้า กล้องวีดิโอมาถ่ายภาพได้นาน 2 นาทีครึ่ง 

เป็น 2 นาทีครึ่ง ที่ทำเอาวงการสัตว์ประหลาดของโลกต้องหวั่นไหว เพราะเป็นภาพที่เห็น ได้ชัดเจนถึงการเคลื่อนที่ของสัตว์ชนิดหนึ่ง สีดำขนาดใหญ่ คาดว่ายาวราวๆ 15 เมตร 
แหวกน้ำด้วยความเร็วประมาณ 10 กิโลเมตรต่อชั่วโมง บนผืนน้ำล็อคเนสอย่างชัดเจน และบางส่วนของภาพมองเห็นครีบด้วย

เอเดรียน ไชน์ นักชีววิทยาสัตว์น้ำ ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ลุ่มหลงที่ติดตามเรื่องราวของเนสซีบอกว่า ภาพวีดิโอฝีมือของโฮล์มส์นั้น เป็นภาพที่ยากจะทำปลอมขึ้น 
เพราะไม่ได้ถ่ายเฉพาะ ตัวสัตว์ ประหลาดเท่านั้น แต่ยังถ่ายเลยไปถึงฉากหลังที่เป็นภูเขารอบทะเลสาบด้วย ทำให้สามารถ เปรียบเทียบขนาดและความเร็วของสิ่งที่เห็นได้ถนัดชัดเจน

ส่วนตัวนายโฮล์มส์เองที่ยังตื่นเต้นไม่หายก็บอกว่า ทีแรกก็นึกอยู่เหมือนกันว่าจะเป็นคลื่น หรือเปล่า แต่เมื่อมองแล้วก็เห็นการเคลื่อนไหว ที่ไปคนละทิศกับระลอกคลื่น 
แถมยังเห็นหลัง สีดำชัดเจน และตอนที่เห็นก็นึกว่าสัตว์ประหลาดนี้น่าจะยาวสัก 4-6 ฟุต แต่พอมามองอีกทีก็ น่าจะใหญ่กว่านั้นมาก

งานนี้สำนักข่าวบีบีซีของอังกฤษนำภาพเคลื่อนไหวของโฮล์มส์ไปออกอากาศ และได้รับเสียง ครางฮือจากผู้ชมว่าชัดเจนแจ่มแจ๋ว แต่ถึงกระนั้น นักวิชาการบางคนก็ยังไม่ค่อยอยากเชื่อ อะไรง่ายๆ 
เพราะฉะนั้นภาพที่ถ่ายได้ก็จะถูกนำไปวิเคราะห์อีกหลายยก เพื่อให้แน่ใจ ว่าไม่ใช่นาก หรือแมวน้ำมาล้อเล่นกับกล้อง

อย่างไรก็ตาม หากจะถามว่าเนสซีมีตัวตนจริงหรือไม่ ก็ไม่มีใครตอบได้ชัดเจนแจ่มแจ้ง และในทางกลับกัน ถ้าจะบอกว่าไม่มีจริง ก็พูดได้ไม่เต็มปาก เพราะมีคนเห็นเยอะเหลือเกิน
แต่ถ้าจะกล่าวถึงความชัดเจนที่สุดจากทางการ ต้องฟันธงลงไปว่า เนสซีมีตัวจริงแหง


รัฐบาลแห่งสหราชอาณาจักรเพิ่งจะเปิดเผยเอกสารที่เคยเป็นเอกสารลับเกี่ยวกับเนสซีไป เมื่อเดือนมกราคม พ.ศ.2549 หรือเมื่อ 2 ปีก่อนนี้เองว่า รัฐบาลยอมรับในการมีอยู่ของเนสซี!!
การเปิดเผยข้อมูลดังกล่าว เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยเสรีภาพในการรับรู้ข้อมูลข่าวสาร ซึ่งข้อความในเอกสารที่ (เคย) ลับมากนี้ระบุว่า 

รัฐบาลอังกฤษภายใต้การนำของนางมาร์กาเร็ต แธตเชอร์ เชื่อเรื่องการมีอยู่ของสัตว์ประหลาดแห่งล็อคเนส และเชื่อไม่เชื่อเปล่า ยังพยายาม หาทางปกป้องมันอีกต่างหาก
เพราะเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาลเกิดกังวลว่า การที่มี ผู้พยายาม ค้นหา ตามล่าแทบทุกตารางนิ้วของทะเลสาบ อาจจะทำให้เจ้าสัตว์ หลงยุคนี้ได้รับอันตราย รัฐบาลจึงได้ทุ่มเททั้งเงิน
และเวลาในการวิจัยเพื่อหาทางปกป้องเนสซี สุดท้ายก็ตกลงกันได้ว่า ไม่ต้องไปทำอะไรมันหรอก เพราะสัตว์ประหลาดนี้ถูกคุ้มครองอยู่แล้ว ตามกฎหมายคุ้มครองสัตว์ป่าและชนบท ค.ศ.1981 
ซึ่งคุ้มครองทั้งสัตว์ที่รู้จักและไม่รู้จัก อยู่แล้ว เพราะฉะนั้นไม่ต้องไปออกกฎหมายใหม่ให้เมื่อย



ข้อมูลจาก http://www.cmxseed.com

สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า

ปริศนา สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า


ความลึกลับ อาถรรพณ์ และเรื่องจริงที่เกิดขึ้น ยังคงกล่าวขานถึงสู่หายนะกับสถานที่แห่งนี้ สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า มฤตยูกลางมหาสมุทรแอตแลนติก
เหตุการณ์ที่ไม่สามารถหาคำอธิบายได้ ความจริงที่เครื่องบิน เรือ ที่ผ่านบริเวณสามเหลี่ยมมรณะถูกดูดกลืนสูญหายไปอย่าง ไร้ร่องรอย โดยไม่ทราบสาเหตุ 
ทั้งที่สภาพอากาศ และทุกอย่างเป็นปกติ ไม่มีข้อสรุปคำตอบ หรือข้ออ้างให้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มีเพียงแต่ปริศนาที่ยังค้างคาใจผู้คนจนถึงปัจจุบัน

ปริศนาสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา 

เรือเดินทะเลที่หายสาบสูญไปในสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา
เรือเดินทะเลที่หายสาบสูญไปในสามเหลี่ยมเบอร์มิวดานั้น ส่วนมากจะเกิดขึ้นในบริเวณที่เรียกว่า "ทะเลซากัสโซ" และสาเหตุที่ท้องมหาสมุทรแห่งนี้มี
นามว่าทะเลซากัสโซ ก็เพราะอาณาเขตบริเวณแห่งนี้อุดมสมบูรณ์ไปด้วย สาหร่ายทะเลชนิดหนึ่งซึ่งมีชื่อว่าสาหร่ายซากัสซั่ม 

สาหร่ายชนิดนี้เป็นอุปสรรคต่อการเดินเรืออย่างยิ่ง และ เหตุการณ์ประหลาดลึกลับทางทะเลต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่โบราณกาล มักจะมีต้นตอมาจาก 
ทะเลซากัสโซเสียเป็นส่วนมาก ชาวฟีนีเชียนโบราณซึ่งเคยใช้เรือเดินทางผ่านท้องทะเลมหาภัยแห่งนี้มา ตั้งแต่หลายพันปีก่อน ได้บันทึกปรากฏการณ์ประหลาดต่าง ๆ 
ไว้เป็นจำนวนมาก


พลังลึกลับในสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา 
ท้องทะลซากัสโซ่ มีอาณาเขตบริเวณกว้างใหญ่อยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของมหาสมุทรแอ๊ตแลนติค บริเวณแห่งนี้จะเต็มไปด้วย 
สาหร่ายทะเลลอยฟ่องเต็มไปหมด เมื่อตอนที่โคลัมบัสแล่นเรือผ่านท้องทะเลแห่งนี้เป็น

ครั้งแรก กลาสีเรือต่างตื่นเต้นที่คิดว่าเรือคงแล่นเข้าใกล้ฝั่งแห่งใดแห่งหนึ่งเข้าไปแล้ว แต่แม้จะแล่นเรือ ต่อไปอีกนาน อาณาเขตของสาหร่ายแห่งนี้
ก็หาหมดลงไปไม่ อีกอย่างหนึ่งที่เป็นสัญลักษณ์ประจำของทะเลซากัสโซ คือ ภูเขาทะเล ภูเขาทะเลคือภูเขาที่อยู่ใต้พื้นน้ำ แต่มีส่วนยอดแบนราบโผล่ขึ้นมา
เหนือพื้นน้ำเล็กน้อย มองดูคล้ายเกาะ แต่ไม่มีพืชพันธ์ใด ๆ นอกจากตระใคร่น้ำเกาะอยู่เท่านั้นทะเลซากัสโซไม่เพียงแต่เป็นท้องทะเลที่เต็มไปด้วยสาหร่าย
ยากแก่การเดินเรือ เท่านั้น แต่กิตติศัพท์ในความน่าสะพรึงกลัวของมันได้ถูกกล่าวขานกันอยู่เสมอ บ้างก็ให้เชื่อว่าเป็นทะเลแห่งความหายนะ หรือสุสานของเรือเดินสมุทร

บ้างก็ว่าเป็นที่สิงสถิตของภูติผีปีศาจทะเล หรือสัตว์ร้ายดึกดำบรรพ์ เรื่องราวต่าง ๆ ที่พวกชาวเรือชอบนำมาเล่า สู่กันฟังเกี่ยวกับท้องทะเลจำนวนนับไม่ถ้วน
ถูกยึดนิ่งสงบรวมอยู่ในใจกลางของทะเลซากัสโซ่ ตั้งแต่สมัยการการเดินทางโดยทะเลของพวกฟินีเชียน ไวกิ้ง โรมัน หรือแม้แต่เรือต่าง ๆ ในสมัยกลางของยุโรป
พวกเหล่านี้เชื่อว่าเรือเหล่านี้ลอยกองรวมกันพร้อมด้วยสมบัติมหาศาลที่บรรทุกอยู่เหตุที่ไม่จมเพราะมีสาหร่ายจำนวนหนาแน่นรองรับอยู่ข้างใต้ 


มนุษย์ผู้พบท้องทะเลแห่งนี้เป็นพวกแรกเข้าใจว่าจะต้องเป็นพวกฟินีเชียนและพวกคาร์ธายิเนียนโบราณ เพราะเป็นเวลา หลายพันปีแล้วที่พวกนี้เดินทางข้าม
มหาสมุทรแอ๊ตแลนติคสู่อเมริกาหลักฐานที่ปรากฏคือรอยแกะสลักบนแผ่นหินของ พวกฟินีเชียน ที่พบอยู่ในประเทศบราซิลขณะนี้ และศิลาจารึกในสุสานฝังศพ
ของ พวกคาร์ธายิเนียน เมื่อราว 500 ปี ก่อนคริศศักราชระบุว่าเรือกูดนิว ซึ่งเป็นเรือลากจูงเครื่องดีเซล ซึ่งได้ทำสงครามชักคะเยอกับพลังลึกลับ
ในสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา และสามารถรอดพ้นอันตราย มาได้ เหนือท้องทะเลแห่งนี้มีแต่ความอ้างว้างเงียบเหงา คล้ายกับสุสานใหญ่ที่มองจรดขอบฟ้า
ไปทุกด้าน ไม่มี แรงลม พอที่จะพัดพาเรือให้แล่นไปได้ ใต้พื้นน้ำเต็มไปด้วยสาหร่ายทะเลอย่างหนาทึบ ซึ่งยึดเรือ ทั้งหลาย ให้หยุดนิ่งอย่างกับกำลังมหาศาลของ
หนวดปลาหมึกยักษ์ ท้องทะเลบางแห่งตื้นเขินซึ่งเป็นที่อาศัยของสัตว์ประหลาดมหึมาหลายสิบชนิด และบางครั้งมันก็ว่ายน้ำเข้ามาทำลายเรือทั้งลำให้กลายเป็นผุยผง
ไปในพริบตา



บริเวณรูปสามเหลี่ยมแห่งนี้เองที่เป็นแหล่งกำเนิด ปรากฏการณ์ อันลี้ลับ มหัศจรรย์

สามเหลี่ยมเบอร์มิวดาเป็นอาณาบริเวณส่วนหนึ่งของมหาสมุทรแอ็ตแลนติคภาคตะวันตก พื้นที่ทั้งหมดเริ่มจาก ตอนหนือของเบอร์มิวดาไปถึงตอนใต้ของรัฐฟลอริดา
และจากฟลอริดามุ่งตรงไปทางตะวันออกทำมุมสี่สิบองศากับเส้นรุ้ง ผ่านบาฮามัสและเปอร์โตริโก จากนั้นก็ย้อนเฉียงกลับไปสู่ทางใต้ตอนเหนือของเบอร์มิวดาอีกซึ่ง
ทำให้อาณาบริเวณแห่งนี้ กลายเป็นรูปสามเหลี่ยมและอาณาบริเวณรูปสามเหลี่ยมแห่งนี้เองที่เป็นแหล่งกำเนิด ปรากฏการณ์ อันลี้ลับ มหัศจรรย์ขึ้น 

ในยุคอวกาศของชาวเราในปัจจุบัน เป็นสิ่งลึกลับและเหลือ เชื่อหากจะบอก ท่านว่า เริ่มตั้งแต่หลังสงครามโลก ครั้งที่สองในปี ค.ศ. 1945 มาจนถึงปัจจุบัน 
เครื่องบินจำนวนกว่า 100 เครื่องและเรือ เดินสมุทร จำนวนอีกมากหลายได้ หายไปในบรรยากาศ และพื้นทะเลของสาม เหลี่ยมเบอร์มิวดาแห่งนี้ 
โดยไม่มีร่องรอย ชีวิตมนุษย์จำนวนพัน ในระยะเวลา กว่า 20 ปีที่ผ่านมา ได้หายไปพร้อมกับ พาหนะโดยไม่มีซากศพ แม้แต่รายเดียว หรือเศษชิ้นส่วนใด ๆ 
ของเรือ หรือ เครื่องบินที่หายไปเหลือให้เห็น การหายสาบสูญของเรือ เครื่องบิน และชีวิตมนุษย์ ในบริเวณดินแดนสามเหลี่ยม- เบอร์มิว ดา 
ยังคงปรากฏอยู่ต่อไป และมีปริมาณเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ทั้ง ๆ ที่ชาติต่าง ๆ ซึ่งเกี่ยวข้องกับการสูญเสียเหล่านี้

  ต่างก็พยายามดำเนินการค้นคว้า หาสาเหตุ แห่งปรากฏการณ์อันประหลาดและลึกลับนี้อย่างเร่งด่วน แต่ก็ไม่มีใคร สามารถบอกสาเหตุ และหาทางป้องกัน 
จากภัยที่เกิดขึ้นในบริเวณท้องทะเลแห่งนี้ได้ไมเครื่องบินที่หายไปเหนือพื้นทะเลแห่งนี้ส่วนมากก่อนที่จะหายการติดต่อกับฐานปฏิบัติการณ์ หรือสถานีปลายทาง 
เป็นไปอย่างปกติ และสภาพของบรรยากาศ และทัศนะวิสัย ก็สงบและ แจ่มใสดี ไม่มีวี่แววของพายุร้ายใด ๆ แต่แล้ว เมื่อถึงบทจะหายเครื่องบินเหล่านั้นก็จะหายไป
อย่างฉับพลันโดยไม่มีร่องรอย ซึ่งนักบินก็ไม่มีโอกาสที่ จะแจ้งข่าวทาง วิทยุให้หน่วยควบคุม การบินทราบได้ แต่ ก็มีเป็นจำนวนมากเหมือนกัน

  ก่อนที่เครื่องบินจะหายสาบสูญ นักบิน มีเวลา พอที่จะแจ้งข่าวผิดปกติ มายังฐานปฏิบัติการได้ ซึ่งทุกรายต่างก็แจ้งตรงกันทั้งหมดว่า ไม่สามารถควบคุมกลไกต่าง ๆ
ให้ดำเนินไปตามปกติได้ เข็มทิศประจำเครื่องจะหมุน ปั่น จะไม่สามารถบอกทิศทางได้ ท้องฟ้าจะกลายเป็นสีเหลือง และมองดูคล้ายหมอกหนาทึบ 
ทั้ง ๆ ที่เป็นวันที่บรรยากาศแจ่มใส และแดดส่องจ้ามาก่อน และท้องทะเลซึ่งเงียบสงบ กลับปั่นป่วน ขึ้นมาโดยไม่อาจจะทราบสาเหตุไดฃอุบัติการณ์ 
ลึกลับที่ไม่อาจให้คำอธิบายได้ เกี่ยวกับการสาบสูญของเรือเดินสมุทร และ เครื่องบินเป็นจำนวนมาก ในดินแดนแห่งสามเหลี่ยมเบอร์มิวดายังคงเกิดขึ้นเรื่อย ๆ 
ไม่ได้ขาด จนกระทั่งในปัจจุบัน ทุกครั้งที่ได้ รับรายงานการ สูญหาย หน่วยยามฝั่งที่ เจ็ด ของกองทัพเรือสหรัฐ จะทำการค้นหาร่องรอยอย่างละเอียดละออ
แต่ก็ประสบความ ล้มเหลว ที่จะพบพยานหลักฐาน ซึ่งจะนำไปสู่การไขปัญหาลึกลับนี้ได้ทุกครั้ง 
และในที่สุด กองทัพเรือสหรัฐ ก็ได้เก็บเรื่องเหล่านี้ไว้เป็นความลับ ไม่ยอมเปิดเผยหรือให้คำวิจารณ์ใด ๆ แก่ประชาชน ที่อยากรู้อยากเห็นว่า อุบัติการณ์ 
ลึกลับเหล่านั้น เกี่ยวข้องกับความอาถรรพ์ของดินแดนแห่งสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาหรือไม่ แต่ทั้ง ๆ ที่กองทัพเรือสหรัฐพยายามจะปกปิด เรื่อราวเหล่านี้ไว้
ประชาชนทั่วไปก็เริ่มรู้ระแคะระคาย ต่าง ๆ และเชื่อว่า จะต้องมี แรงอาถรรพ์ หรือพลังอำนาจอันลึกลับ อย่างหนึ่งอย่างใด ภายใน บริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา
อย่างแน่นอน 


และยิ่งปรากฏว่าเมื่อเร็ว ๆ นี้ได้มีข่าวรายงานว่า มี นักบิน และนักเดินเรือบางคนได้รอดชีวิตมาจากปรากฏการณ์สยองขวัญ ในดินแดนของ สามเหลี่ยมเบอร์มิวดา 
จึงทำให้ เกิดการฮือ ฮากันใหญ่ในขณะนี้ แต่อย่างไรก็ดี จวบจน กระทั่งบัดนี้หาได้มีผู้ใด ที่สามารถให้คำอธิบายแจ่มชัด เกี่ยวแก่ความลึกลับและ ความอาถรรพ์ของ
สามเหลี่ยมเบอร์มิวดาได้ไม่ และการสาบสูญ ก็ยังคงปรากฏ อยู่ต่อไป โดยไม่มีทางป้องกันหรือขัดขวางได้มีผู้ให้ความคิดเห็นและคำอธิบายเกี่ยวกับเรื่องนี้ 
ด้วยเหตุผลที่แตกต่างกันไป บ้างก็ว่าเนื่องมา จากความปั่นป่วน ของท้องน้ำ ที่เกิดขึ้นอย่างทันทีทันใด จากแผ่นดินไหว ใต้มหาสมุทร หรือเกิดจากอุกาบาต
เป็นจำนวนมากในบริเวณนั้น ได้พุงเข้าชนเครื่องบิน และทำให้เกิดระเบิดขึ้นมา รังควานเป็นครั้งเป็นคราว 


สำหรับนักวิทยาศาสตร์ ให้คำอธิบาย ที่อาจ เป็นไปได้ว่า เครื่องบินและเรือเหล่านั้น ได้ถูกเปลี่ยนแปลงไปยังอีกมิติหนึ่งด้วยการกระทำของสิ่งมีชีวิตที่มีปัญญาสูง 
เพื่อจุดประสงค์บางอย่าง อีก ทฤษฏีหนึ่ง นักวิทยาศาสตร์ได้ให้เหตุผลว่า เครื่องบินอาจพุ่งดิ่งลงสู่ทะเล เพราะแรงดึงดูด ของ สนามแม่เหล็ก ไฟฟ้าหรือแรงโน้มถ่วง
ของโลก ที่เกิดจากฝีมือการกระทำของสิ่งมีชีวิต ที่มีปัญญาสูง เมื่อเครืองบิน นั้นร่อนลงสู่พื้นน้ำนักบินและลูกเรือก็จะถูกจับตัวโดย มนุษย์จากจานบิน (UFO) 
ที่ถูกควบคุมโดยมนุษย์อีกพวกหนึ่ง ที่ไม่คุ้นเคยกับชาวโลก ซึ่งอาจจะเป็นมนุษย์ที่เหลือรอดมีชีวิต สืบต่อกันมาจากสงครามนิวเคลียร์มหาประลัยที่เกิดขึ้น 
ในกาลก่อน หรือเป็นมนุษย์ จากอวกาศนอกโลก หรือมนุษย์ในอนาคต ที่ต้องการ รวบรวมตัวอย่างการดำรงชีวิตของ ชาวโลก เพื่อการศึกษาค้นคว้า 
หรือป้องกันภัย ที่จะเกิด จากอาวุธนิวเคลียร์ ในอนาคตอย่างใดอย่างหนึ่ง

มีอยู่หลายกรณีเกี่ยวกับการสืบสวนความลึกลับของเรื่องนี้ ที่เจ้าหน้าที่มุ่งตรงใน ประเด็นซึ่งเกี่ยวกับท้องทะเลโดยเฉพาะเพราะแม้ว่า เราจะอยู่ในสมัยที่กำลังก้าว
เข้าสู่ อวกาศก็ตาม แต่ความลึกลับของท้องทะเล ยังคงเป็นสิ่งมืดมน สำหรับพวกชาวโลกอยู่ ก่อน อื่นเราจะต้องรับความจริงที่ว่า 3 ใน 5 ส่วน
ของพื้นใต้มหาสมุทร เรา ยังรู้จักกันน้อยกว่า ปล่องภูเขาไฟในดวงจันทร์ หรือพื้นราบบนดาวอังคารเสียอีก เรามีแต่แผนที่ทางทะเล ที่เขียนขึ้นอย่างหยาบ ๆ 
จากการ สำรวจโดยใช้เสียงสะท้อนของโซน่า ใช้เครื่องดำน้ำลึก หรือเรือดำน้ำที่มีเขตจำกัดสำรวจได้เฉพาะพื้นน้ำที่ไม่ลึกนัก เท่านั้น 

และความประสงค์ ส่วนใหญ่ จะมุ่งเฉพาะการค้นหาแหล่งน้ำ มัน และทรัพยากรธรรมชาติเท่านั้นเอง เรายัง ไม่อาจจะทราบได้ว่า ในส่วนก้นบึ้งที่ลึกที่สุด 
มีอะไรที่จะสร้างความประหลาดใจ อย่างใหญ่หลวงให้แก่พวกเราบ้าง พื้นทะเลลึกและหุบเหวใต้ท้องทะเล อาจจะเป็นที่อาศัย ของสิ่งมีชีวิตที่มีมันสมอง
และฉลาดเกินกว่าเราจะคาดคิด ก็เป็นได้ 

ความลึกลับมหัศจรรย์ ใต้ท้องทะเล หาได้หยุดยั้งเพียงเท่าที่กล่าวมาแล้วไม่ นิยายปรัมปรา เล่าลือสืบต่อเนื่องกันมา เกี่ยวกับพิภพ และสัตว์ประหลาดใต้ท้องทะเล 
โดย ไม่มีวันจบสิ้น และยิ่งการค้นพบหลักฐานซากเมืองโบราณ ใต้พื้นน้ำ ลึกเป็นพัน ๆ ฟุต ในหลายส่วนของพื้นมหาสมุทรทั่วโลก ยิ่งทำให้เรื่องพิลึกกึกกือได้รับ
ความสนใจจาก ความอยากรู้ อยากเห็นของชาวโลกยิ่งขึ้น เราเคยทราบวัฒนธรรม และความรุ่งโรจน์ ของ ชาวเมืองแอตแลนติส โบราณจากบันทึกของ 
มหาปราชญ์เพลโตเมื่อสองพันกว่าปีมาแล้ว ปัจจุบันนักโบราณคดีและภูมิศาสตร์ ต่างเชื่อมั่นว่าอาณาจักรแอตแลนติก อันเคยรุ่งเรือง ด้วยอารยธรรมมาก่อนนั้น
มีจริงขณะนี้เมืองทั้งเมืองได้จมหายอยู่ใต้พื้นมหาสมุทร แอตแลนติคที่ใดที่หนึ่ง 

อีกสิ่งหนึ่งที่สร้างความประหลาดใจให้แก่โคลัมบัสเมื่อห้าร้อยปีก่อน คือส่วนหนึ่งของ กระแสน้ำอุ่น กัลฟ์ตรีมที่เรียกกันว่าสายน้ำขาว พื้นน้ำบริเวณนี้จะมองเห็น
สุกใส ด้วย แสงเรืองเป็นทางยาว ระยะทางเป็นไมล์ๆ ใกล้ๆกับ บาฮามัส ซึ่งในปัจจุบันแสงเรือง บนพื้นน้ำเหล่านี้ก็ยังคงปรากฏอยู่การตรวจสอบ
ของนักวิทยาศาสตร์ ก็ยังไม่ทราบแน่ชัด ว่าเกิดการเรืองแสงของจุลินทรีย์ในน้ำที่ถูกฝูงปลารบกวนหรือเป็นแสงเรืองที่เกิด จากกัมมันตภาพรังสี 
หรืออาจเป็นการเคลื่อนไหวของสัตว์ประหลาดขนาดมหึมาใต้ท้องทะเลกันแน่ และยิ่งกว่านั้น มีเหตุผลพอจะทำให้เชื่อได้ว่า พื้นที่ใต้มหาสมุทรแถวนั้นอาจ
เป็นที่ตั้งฐาน ใต้น้ำ ของชาวนอกโลก ที่ มาศึกษาชีวิตความเป็นไปในโลกของเราก็ได้ และแสงเรือง ที่เกิดขึ้น อาจเป็นสัญญาณให้ยานอวกาศของพวก
เขาทราบตำแหน่งที่ตั้งและมองเห็นได้ ชัดเจน ก่อนที่ยานอวกาศจะเข้าสู่บรรยากาศโลก 

เหตุผลต่าง ๆ ที่กล่าวมานี้ท่านอย่าเพิ่ง เชื่อปักใจไปกับอย่างใดอย่างหนึ่ง เพราะตราบใดที่เรายังไม่อาจพิสูจน์ได้แน่ชัด 

ปรากฏการณ์ประหลาดของสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาก็ยังเป็นเรื่องลึกลับ ที่มืดมนสำหรับเราอยู่ ในบางกรณี หากวิเคราะห์ด้วยเหตุผลเกี่ยวกับการหาบสาบสูญ
ของเรือเดินสมุทรและเครื่องบินในบริเวณ สามเหลี่ยมเบอร์มิวดา จะพบว่าหาเป็นเรื่องประหลาดลึกลับแต่อย่างใดไม่เพราะเครื่องบินแต่ละลำ 
เมื่อนำไปเปรียบเทียบกับความกว้างใหญ่สุดคณานับของพื้นมหาสมุทรโลกแล้ว ก็เปรียบเสมือนฝุ่นละอองที่ล่องลอย อยู่ในห้องโถงใหญ่ น้ำในมหาสมุทร
ก็ไม่ได้หยุดนิ่งอยู่กับที่ แต่มีการเคลื่อนไหว กระแสน้ำอุ่นกัลฟ์สตรีมมีอัตราความเร็วกว่าสี่ไมล์ต่อชั่วโมง ในท้องทะเลนอกฝั่งบาฮามัสมีสิ่งแปลกประหลาด
อยู่สิ่งหนึ่งที่นักประดาน้ำ มักจะพบเห็นอยู่บ่อย ๆซึ่งพวกเขาเรียกว่า "ปล่องน้ำเงิน" จะปรากฏอยู่ตามหุบผาใต้น้ำและแล่งหินประการังมีลักษณะเป็นอุโมงค์
หรือปล่องใต้ทะเล โดยทั่วไปเป็นที่อยู่ของปลาที่ไม่ค่อยได้พบกันที่ผิวน้ำ ปล่องเหล่านี้เชื่อว่า เกิดจากถ้ำหินประการังถูกกัดกร่อนด้วยกระแสน้ำใต้ทะเล
มาเป็นเวลานับหมื่นปี 


เคยมีนักประดาน้ำดำลงไป สำรวจปล่องต่าง ๆ นี้พบว่าปล่องจำนวนมากต่างมีทางแยกออกไปในหลายทิศทางทำให้ปลาที่ว่ายวน อยู่ในนั้นเกิดสับสนถึงกับว่าย
เอาครีบท้องขึ้นสู่เบื้องบน ยิ่งกว่านั้นยังพบว่ากระแสน้ำไหลเชี่ยวแรงเข้าสู่ส่วนลึกคล้ายถูกดูดด้วยกำลังอันมหาศาลซึ่งเป็นอันตรายต่อนักประดาน้ำมาก 
และลักษณะการณ์เช่นนี้ทำให้น้ำบริเวณปากปล่องไหลวนเข้าไปภายในอย่างรวดเร็ว ก่อให้เกิดการหมุนเป็นกรวยเหนือพื้นน้ำในลักษณะของวังน้ำวน 
ซึ่งสามารถจะดึงดูดเรือเล็กพร้อมด้วย คนบนเรือ ลงสู่ก้นอย่างรวดเร็ว

อีกทฤษฏีหนึ่ง เป็นทฤษฏีเกี่ยวกับลมพายุทอนาโดซึ่งเกิดเป็นครั้งคราว จะกวาดเรือและเครื่องบินให้จมลง สู่ก้นมหาสมุทรได้ไม่ยากพายุทอร์นาโดเป็นพายุหมุน
ปั่นเอาน้ำทะเลหมุนเป็นเกลียวสูงนับร้อยๆฟุตกลาง อากาศและหากมันเกิดตอนกลางคืน เครื่องบินที่บินอยู่ระดับต่ำอาจถูกกระแทกตกลงสู่ทะเลได้ 
เพราะนักบินไม่สามารถจะมองเห็นได้ในระยะไกล ส่วนเรือเดินสมุทรขนาดใหญ่ที่จมหายนั้น เชื่อว่าอาจจะเกิดจากกระแสคลื่นมหึมาที่เป็นผลมาจากแผ่นดินไหว
ใต้ทะเลก็ได้ เพราะคลื่นที่เกิดจากปรากฏการณ์เช่นนี้จะมีปรากฏารณอย่างหนึ่งที่อาจเป็นอันตรายต่อเครื่องบินได้ คื่อากรผันแปรของอากาศอย่างทันทีทันใด
ที่เรียกกันว่า "แค๊ท" (Cat - clear air turbulenec) 

โดยทั่วไปแล้ว "แค๊ท" จะเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่อาจจะคาดคะเนหรือทำการพยากรณ์ได้เช่นเดียวกับลักษณะภูมิกาศโดยทั่วไปมันจะเกิดขึ้นได้ทุกเวลา
และทุกสภาวะอากาศสาเหตุของปรากฏการณ์นี้ยังไม่ทราบกันแน่ชัด แต่เชื่อกันว่าหากมันเกิดขึ้นขณะที่กระแสลมพัดแรงและรวดเร็วจะทำให้เกิด
สูญญากาศบริเวณนั้นทันที 

ซึ่งหากเครื่องบินได้บินเข้าสู่บริเวณของมันก็อาจจะตกดิ่งสู่ทะเลได้ง่ายแต่อย่างไรก็ดี การผันแปรวิปริตของบรรยากาศทันทีทันใดในลักษณะเช่นนี้นั้นจะต้อง
ไม่ใช่สาเหตุการหายสาบสูญของเครื่องบินทุกลำในบริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาเป็นแน่ เพราะปรากฏการณ์ "แค๊ท" จะไม่เป็นผลต่อการทำงานของเครื่องวัดต่าง ๆ
และระบบการติดต่อทางวิทยุบนเครื่องบอน 

แต่ทุกครั้งที่เกิดเหตุ จะปรากฏว่าการติดต่อทางวิทยุได้เงียบหายไปการแปรผันของสนามแม่เหล็กโลก 
ก็อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เครื่องบินตกได้เช่นเดียวกัน เพราะมันจะทำให้เกิดการผิดพลาดในการทำงานของเครื่องวัดระดับและเข็มทิศประจำเครื่อง 
ในกรณีเช่นนี้นักบินไม่มีความสามารถพอก็อาจจะนำเครื่องบินดิ่งลงสู่มหาสมุทรได้ ยิ่งกว่านั้นปรากฏการณ์ต่าง ๆ ทางธรรมชาติ
อีกมากมายที่เราไม่อาจจะอธิบายหรือทราบสาเหตุของมันได้




ข้อมูลจาก  http://www.cmxseed.com

ความเห็นล่าสุด

Your left Slidebar content. -->