gallerybottom

แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ เรื่องราวลี้ลับ แสดงบทความทั้งหมด

เขมรฮือฮา

พระพักตร์สมเด็จฯสีหนุ บนขอบดวงจันทร์


ข่าวฮือฮา
ย่านตลาดโรงเกลือ พบภาพคล้ายพระพักตร์สมเด็จพระนโรดม สีหนุปรากฏอยู่ตรงขอบดวงจันทร์ 2 คืนซ้อน ชาวเขมรเชื่ออภินิหาร สวรรคตครบ 7 วัน และยังทรงห่วงชาวเขมร…

เมื่อวันที่ 23 ต.ค.2555 ที่ตลาดโรงเกลือ ตลาดการค้าชายแดน อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว ตรงข้ามกรุงปอยเปต จ.บันเตียเมียนเจย ประเทศกัมพูชา ได้เกิดข่าวลือสนั่นไปทั่วว่า สมเด็จพระนโรดม สีหนุ อดีตกษัตริย์กัมพูชา ที่เสด็จสวรรคตครบ 7 วัน ทรงสร้างอภินิหารปรากฏภาพพระพักตร์อยู่บนขอบดวงจันทร์ในยามค่ำคืน โดยปรากฏมา 2 คืนซ้อนแล้ว สร้างความฮือฮาแก่ชาวเขมรในตลาดโรงเกลือ และตลาดปอยเปต ออกมายืนดูและวิพากษ์วิจารณ์กันไปต่างๆ นานา



ทั้งนี้ ชาวเขมรจำนวนมากใช้โทรศัพท์มือถือและกล้องถ่ายรูปบันทึกภาพดวงจันทร์ที่เชื่อกันว่า มีภาพคล้ายพระพักตร์ของสมเด็จพระนโรดม สีหนุ อยู่บริเวณขอบดวงจันทร์ ซึ่งขึ้นทางทิศตะวันตกเป็นดวงจันทร์ครึ่งเสี้ยว โดยทอดพระเนตรไปทางประเทศกัมพูชา ชาวเขมรที่พบเห็นต่างพนมมือไหว้ และวิจารณ์ว่าเป็นอภินิหารของ "สมเด็จตา" ซึ่งเป็นคำที่ชาวเขมรเรียกสมเด็จพระนโรดม สีหนุ เสด็จสวรรคตครบ 7 วัน แต่ยังทรงห่วงประชาชนชาวกัมพูชา จึงทรงปรากฏให้เห็นบนดวงจันทร์

ร.อ.อภินันท์ สงครามชัย ผบ.ร้อย ทพ.1206 ฉก.กรม.ทพ.12 กกล.บูรพา (ผู้บังคับกองร้อยทหารพรานที่ 1206 หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 12 กองกำลังบูรพา) ซึ่งดูแลพื้นที่แนวชายแดน ด้านตลาดโรงเกลือ และจุดผ่านแดนถาวรบ้านคลองลึกเผยว่า ในคืนวันที่ 22 ต.ค.2555 ที่ผ่านมา เวลาประมาณ 20.00 น. ชาวเขมรหลายร้อยคนออกมายืนดูดวงจันทร์ และต่างฮือฮา บอกว่าเป็นภาพใบหน้าของสมเด็จตาปรากฏให้เห็นมา 2 คืนซ้อน

"เนื่องจากเป็นความเชื่อของชาวเขมร เจ้าหน้าที่เพียงดูแลความสงบเรียบร้อยเท่านั้น ไม่สามารถวิจารณ์อะไรได้ เนื่องจากอยู่ที่จินตนาการของแต่ละคนว่าสามารถมองเห็นเป็นภาพอะไรบ้าง แต่ก็ยอมรับว่าเมื่อมองดูแล้วลักษณะเป็นก้อนเมฆสีขาวคล้ายใบหน้าคน" ร.อ.อภินันท์ กล่าว.
โดย: ทีมข่าวภูมิภาค 

ฝนกบ ฝนปลา (Fish Falls & Weird Rain)

ฝนกบ ฝนปลา (Fish Falls & Weird Rain)




เรื่อง นี้ก็เป็นอีกเรื่องนึงที่ทุกท่านคงจะคุ้นเคยหรือทราบกันเป็นอย่างดีแล้วนะ ครับ ถ้างั้นเราก็จะไปกันแบบเร็วหน่อยดีมั๊ยครับ หากจะว่าไปแล้วเรื่องฝนสัตว์ ฝนพืชเนี่ย เป็นอะไรที่เหลือเชื่อและประหลาดน่าดูชมอยู่เหมือนกันนะครับ ถ้าหากเรามานั่งคิดกันตามหลักความเป็นจริงแล้ว การที่มีบางอย่างตกลงมาจากท้องฟ้าโดยที่ไม่ใช่ฝน หิมะหรือลูกเห็บ ฯลฯ มันก็ดูแปลกดีครับ และยิ่งถ้าสิ่งที่ตกลงมาเป็นปลา เป็นกบเนี่ย หรือสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ละก็ ความแปลกก็จะทวีเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัวเลย

จากรายงาน บันทึกกล่าวไว้ว่าสิ่งที่มีการตกลงมาเป็นจำนวนมากไม่ใช่เพียงแค่ปลาอย่าง เดียวเท่านั้นนะครับ หากแต่ยังมีสัตว์อีกหลายชนิด เช่น กบ คางคก หอย จระเข้ ทาก งู อีกทั้งเมล็ดธัญพืชอีกนานาชนิดอีกด้วยครับที่เคยมีบันทึกเอาไว้ว่าตกลงมาจาก ท้องฟ้า อ้อ หากพูดถึงเรื่องฝนกบ ฝนปลา สารพัดฝนแล้วไม่พูดถึงบุคคลท่านนี้หน่อยก็จะดูกระไรอยู่นะครับ เขาก็คือชาร์ลส์ ฟอร์ท (Charles Fort) นั่นเอง

แล้ว ชาร์ลส์ ฟอร์ท เป็นใครกันละ? ครับ เขาก็คืออเมริกันชนผู้ที่บุกเบิกในเรื่องลึกลับและเหตุการณ์แปลกประหลาดเป็น คนแรกๆ ทั้งยังเป็นคนเก็บบันทึกรายงานเรื่องราวแปลกๆ เอาไว้มากมาย ผลงานตีพิมพ์เป็นหนังสือออกมาก็หลายเล่มอยู่ครับ แต่ฉบับที่โด่งดังที่สุดก็เห็นจะเป็นหนังสือที่ชื่อ The Book of the Damned หรือที่รู้จักกันในชื่อฟอร์เทียน่า (Forteana) ซึ่งเป็นหนังสือที่รวบรวมเหตุการณ์การประหลาดต่างๆ เอาไว้เพียบ เช่น ฝนกบ ฝนปลา ฝนเมล็ดพืชและปรากฏการณ์แปลกประหลาดอีกหลายเรื่องครับ

นาย ฟอร์ท คนนี้นั้นถือได้ว่ามีบทบาทสำคัญเป็นอย่างมากทีเดียวครับในช่วงยุค ทศวรรษที่ 19 สำหรับยุคเฟื่องฟูและยุคบุกเบิกวงการเรื่องแปลก เหตุการณ์ประหลาดที่หาคำอธิบายไม่ได้ เรื่องฝนกบ ฝนปลา ก็ได้นายคนนี้แหละครับที่เป็นคนนำเสนอรายงานและเผยแพร่บันทึกเป็นวงกว้างมาก ขึ้นต่อสาธารณะชน กล่าวกันว่าบันทึกเรื่องแปลกของฟอร์ทนั้นมีถึง 600,000 เรื่อง เลยทีเดียวครับ นับว่าไม่ธรรมดาทีเดียว ......นอกเรื่องออกไปซะไกล กลับมาเข้าเรื่องต่อดีกว่าครับ คำถามที่สงสัยกันก็คงจะไม่พ้นข้อที่ว่า แล้วบรรดาปลาหรือสรรพสิ่งทั้งหลายขึ้นไปอยู่ในอากาศได้ยังไง ? แล้วตกลงมาเป็นฝนได้อย่างไร ? และไม่ใช่จำนวนน้อยๆ เสียด้วยซิครับ อื้ม....มีผู้รู้และผู้สันทัดกรณี รวมทั้งผู้ที่ศึกษาปรากฏการณ์เหล่านี้อย่างจริงจัง ได้ให้คำอธิบายไว้ว่างี้ครับ คือว่าสาเหตุหรือตัวการที่เป็นต้นตอของเรื่องราวสารพัดฝนประหลาดนี้นั้นก็ คือ พายุเฮอร์ริเคน ทอร์นาโด ไต้ฝุ่น นี่แหละครับ ที่หอบเอาบรรดาสารพัดสิ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า ซึ่งบางทีอาจจะจากแม่น้ำลำคลอง คูหนอง คลองบึง ทะเล หรือมหาสมุทรหรือแล้วแต่ทางที่พายุพัดผ่านไป แล้วเมื่อพายุอ่อนกำลังลง บรรดาสารพัดสิ่งที่พายุพัดหอบเอามาด้วย ก็เลยตกลงไปกลายเป็นสารพัดฝนนี่แหละ นับว่าเป็นทฤษฎีที่ให้คำอธิบายที่ดีและน่าสนใจมากครับ


แสงปริศนา ประเทศเยอรมัน

แสงปริศนาทำให้รถที่ประเทศเยอรมันเกิดอุบัติเหตุ 












ขอบคุณข้อมูลจาก  http://allmysteryworld.blogspot.com/2013/03/blog-post_211.html#.UUa4Q2-QbAw

Green Children of Woolpit


 Green Children of Woolpit




 บ่ายวันหนึ่งแห่งเดือนสิงหาคม ค.ศ.1887 เด็กสองคนจูงมือกัน เดินออกมาจากถ้ำแห่งหนึ่งที่เชิงผาใกล้หมู่บ้านบานโฮเซ ในประเทศสเปน เข้าไปในนาซึ่งคนงานกำลังเก็บเกี่ยวกันอยู่ เด็กสองคนนั้นเดินออกมาจากปากถ้ำอย่างปราศจากอาการหวาดกลัว ทั้งสองคนพูดภาษาที่แปลก และกระท่อนกระแท่น ไม่ใช้ภาษาสเปน และภาษาใดในโลก กับทั้งเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มก็ประกอบด้วยวัสดุที่ไม่เคยเห็นมาก่อนและที่ประหลาดที่สุดก็คือผิวกายของเด็กทั้งคู่ไม่เหมือนคนธรรมดา ทั่วไป กล่าวคือเป็นสีเขียวขจี เมื่อพิจารณาดูลักษณะของตาเหมือนคนเอเชียมาก นัยน์ตากลมเหมือนผลมะนาว และลึก

พวกชาวนาพากันวิ่งกรูเข้าไปหาเด็กสองคนนั้น ฝ่ายเด็กก็ตื่นตกใจและออกวิ่ง ผู้คนเลยแตกตื่นวิ่งไล่ตาม ในที่สุดก็ตามทันและจับตัวไว้ได้นำไปที่หมู่บ้านทั้งสองคนถูกนำตัวไปที่บ้านของริคาร์โด ดา คาลโน ผู้ซึ่งเป็นทั้งนคราภิบาล และเจ้าของที่ดินคนสำคัญของหมู่บ้าน

ดา คาลโนพยายามพูดจากับเด็กคู่นั้น ส่วนคนอื่นๆ โผล่หน้าต่างดู เขาจับมือขวาของเด็กผู้หญิงยกขึ้นดู ปรากฏว่าสีเขียวติดแน่น จึงต้องเป็นส่วนหนึ่งของเนื้อเยื่อของผิวกายอย่างไม่ต้องสงสัย เด็กคนนั้นดึงมือกลับ แล้วร้องไห้ด้วยความหวาดกลัว เจ้าของบ้านจัดอาหารมาวางลงบนโต๊ะตรงหน้าเด็กทั้งสอง แต่เด็กก็ไม่รับประทาน หยิบขนมปังขึ้นมาถือไว้แล้วหยิบผลไม้ แต่ก็เพียงมองดูด้วยความแปลกใจ ไม่ยอมเอามันเข้าไปใกล้ปาก เด็กทั้งสองพักอยู่ในบ้านนั้น 5 วัน ไม่กินอะไรเลยจนสังเกตเห็นได้ว่าอ่อนเพลีย จนในที่สุดเด็กชายก็เสียชีวิตจากไปเพราะร่างกายอ่อนแอ หลังจากมาที่ปรากฏตัวได้ที่นั่นหนึ่งเดือน ศพของเขาก็ได้ถูกฝังไว้ในสุสานของหมู่บ้าน

อย่างไรก็ตามส่วนเด็กหญิงกลับแข็งแรงดี และทำหน้าที่เป็นคนรับใช้อยู่ในบ้านของ ดา คาลโน ผิวกายที่เป็นสีเขียวค่อยๆ จางลง หลังจากนั้น 2-3 เดือนเธอก็พูดภาษาสเปนได้บ้าง จึงสามารถให้ถ้อยคำชี้แจงแก่ดา คาลโนได้ถึงเรื่องราวในการมาของเธอ แต่แม้กระนั้นก็ยังทำให้ความลึกลับที่มีอยู่แล้วกลับมีมากยิ่งขึ้น

เธอบอกว่าเธอมาจากดินแดนแห่งหนึ่งซึ่งไม่มีพระอาทิตย์ขึ้น และมีแสงสนธยาอยู่เสมอเป็นนิจ "มีดินแดนที่มีแสงสว่างแลเห็นอยู่ห่างไกลจากเรา แต่ถูกสกัดกั้นโดยธารน้ำที่กว้างมาก" ต่อคำถามที่ว่าทั้งสองคนมาสู่พิภพของเราได้อย่างไร เธอตอบได้แต่เพียงว่า "มีเสียงหนึ่งดังมากขึ้น และเสียงนั้นเองที่ตรึงจิตใจของเรา เราจึงมาตามเสียงนั้นและได้พบตัวเองมาอยู่ในทุ่งนาที่กำลังมีการเก็บเกี่ยว"

นั่นคือเรื่องราวทั้งหมดที่เธอเล่าให้ฟัง เด็กผู้หญิงมีชีวิตอยู่อีกห้าปี แล้วเธอเองก็ตายตามไปอีกคนนึ่ง ศพของเธอถูกฝังไว้เคียงข้างกับศพพี่(หรือน้อง) ชายของเธอ

นี้ เป็นเรื่องจริงปรัมปราที่เล่ากันมาในอดีต หรือเป็นเรื่องโกหกหลอกลวงกันแน่??


ความเห็นล่าสุด

Your left Slidebar content. -->