gallerybottom

ตำนานบั้งไฟพญานาค

ตำนานบั้งไฟพญานาค




พอถึงวันขี้น ๑๕ ค่ำเดือน ๑๑ ซึ่งเป็นวันออกพรรษาของทุกปีจะมีประชาชนจากทั่วทุกสารทิศโดยเฉพาะชาวพุทธศาสนิกชนทั้งหลาย ได้เดินทางมาที่จังหวัดหนองคายเป็นจำนวนมาก เพื่อจะมาดูลูกไฟประหลาด ซึ่งชาวบ้านเรียกว่าบั้งไฟพญานาค ลักษณะเป็นลูกไฟเท่าไข่ไก่หรือเล็กกว่า พุ่งขึ้นมาจากใต้แม่น้ำโขงแล้วหายไปในบรรยากาศเหนือลำน้ำโขง เหตุการณ์ดังกล่าวได้แบ่งคนออกเป็น ๓ กลุ่ม กลุ่มแรกเชื่อว่า เป็นผลงานของเหล่าพญานาคที่อาศัยอยู่ใต้แม่น้ำโขง จุดลูกไฟเพื่อถวายเป็นพุทธบูชาแด่องค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่เสด็จจากเทโลกลงมามนุสสาโลก หลังจากที่จำพรรษาอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึง เพื่อเทศนาโปรดพุทธมารดาเป็นเวลา ๓ เดือน พระองค์เสด็จกลับลงมาทางบันไดสวรรค์ ที่ประตูเมืองสังกัสสนคร อันตั้งอยู่เหนือกรุงสาวัตถี ด้วยพุทธานุภาพบันดาลในการเสด็จคราวนั้นทำให้มนุษย์และเทวดาบรรดาสัตว์ที่อยู่ต่างภพทั้งหลาย ต่างก็มองเห็นกายของกันและกันปรากฏชัด เมื่อตกมาถึงกาลสมัยปัจจุบันแม้นไม่เห็นกายพญานาค แต่ก็เห็นการแสดงออกในความจงรักภักดี ดังนั้นเราจึงมองเห็นบั้งไฟพญานาคที่ได้แสดงสัญลักษณ์เป็นลูกไฟดังกล่าว กลุ่มที่สองไม่เชื่อว่าเป็นบั้งไฟพญานาค มันเป็นเพียงกฎของธรรมชาติที่เป็นวัฏฏจักรหมุนเวียนตลอดไป ซึ่งจะต้องใช้แนวทางของวิทยาศาสตร์พิสูจน์เท่านั้น กลุ่มที่สาม เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง




ในแนววิทยาศาสตร์ พญานาค คือสัตว์ที่เป็นนามสมมุติหรือสัญลักษณ์ สร้างจากจิตนาการที่เข้ามามีบทบาทในบางช่วงกับการสอนศาสนาของพระพุทธเจ้า พญานาคไม่มีตัวตนจริง มองไม่เห็น ไม่สามารถสัมผัสแตะต้องทางกายภาพได้ ไม่มีสาระบบในทางชีววิทยา

ในแนวทางไสยศาสตร์ พญานาค คืองูขนาดใหญ่มีหงอน มีพิษ มีอิทธิฤทธิ์อย่างมากมาย อยู่ในสภาวะระหว่างเทพและสัตว์เดรัจฉานที่อยู่อาศัยเป็นทิพย์ ไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่า เพราะอาศัยอยู่คนละภพภูมิกับมนุษย์โดยมีมิติต่างระดับทับซ้อนกันอยู่ ผู้ที่มองเห็นพญานาคได้ต้องเป็นผู้ฝึกฝนจิตจนบรรลุชั้นที่จะมองเห็นด้วยตาข้างใน หรือผู้ที่มีส่วนเกี่ยวดองเป็นทาญาติ เป็นอดีตคู่รักกับพญานาคเมื่อภพที่ผ่านมาแล้วจึงจะสามารถมองเห็น พญานาคได้ เท่าที่บันทึกไว้คนที่เห็นพญานาคล้วนแต่เป็นอริยะสงฆ์ ถ้าเป็นสามัญชนยังไม่ชัดเจน อริยะสงฆ์ที่มองเห็นพญานาคมีดังนี ๑.พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต เห็นที่ถ้ำเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ในระหว่างปี พ.ศ. ๒๔๗๑ ๒.หลวงปู่ชอบ ฐานสโม เห็นพญานาคที่ริมฝั่งแม่น้ำโขงเมื่อครั้งไปวิเวกที่ประเทศลาวและเห็นพญานาคชื่อเทพนาคาบนภูเขาสูงใกล้กับดอยแม้ว อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม ๓.หลวงปู่หลุย จันทสาโร เห็นพญานาคที่ถ้ำ ภูบักเบิด จังหวัดเลย เมือปี พ.ศ.๒๔๙๙ และถ้ำแจ้งยาว เมื่อ พ.ศ.๒๕๐๙ ๔.หลวงปู่สิม พุทธาจาโร เห็นพญานาคที่ถ้ำผาป่อง อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อปี พ.ศ.๒๕๑๐ ๕.หลวงปู่คำคะนิง จุลมณี เห็นพญานาคที่ถ้ำมืด เขตอำเภอโขงเจียมจังหวัดอุบลราชธานี



พญานาคอาศัยอยู่ที่ไหน
ในแนววิทยาศาสตร์ ไม่สามารถตอบคำถามนี้ได้ เพราะคำว่าพญานาค ไม่มีในสาระบบของสัตว์ที่อาศัยอยู่ในโลกปัจจุบัน
ในแนวไสยศาสตร์ พญานาคอาศัยอยู่ในภพหรือภูมิหนึ่งที่อยู่ใต้บาดาลลึกลงไปในดินประมาณ ๑ โยชน์มีปราสาทราชวังถึง ๗ ชั้น จะปรากฏกายอยู่ในภพภูมิของตนเอง ไม่สามารถดำรงตนอยู่บนโลกมนุษย์อย่างถาวรได้ แต่ก็สามารถติดต่อสัมพันธ์และสร้างความรักกับมนุษย์ได้ โดยปกติพญานาคถ้าจะปรากฏขึ้นบนโลกมนุษย์ในห้วงเวลาใดเวลาหนึ่ง บนภูเขาหรือป่าดงดิบในน้ำในถ้ำจะเป็นในช่วงเวลาระยะสั่น ๆ นอกจากว่าเคยมีความสัมพันธ์กันแต่อดีตชาติปางก่อนเท่านั้น ที่จะต้องใช้เวลายาวนานเพื่อเหตุผลบางอย่าง จะปรากฏกายในรูปแบบต่าง ๆ เช่นเป็นงูใหญ่ เป็นงูเผือก เป็นมนุษย์เพศชายและหญิง เพียงปรากฏกายให้เห็น เพื่อตามหาคนรัก หรือตามแก้แค้นคนที่เคยก่อกรรมกันไว้ในอดีตชาติ ดั่งอมตะนิยายของภาคอีสานเรื่อง ผาแดงนางไอ่ มีคนให้สมญานานอีกชื่อหนึ่งว่า รักที่รอคอย ซึ่งเป็นเรื่องเล่าสืบทอดกันมาแต่โบราณกาล จนมาถึงปัจจุบัน และเรื่องเล่าต่างๆ เกี่ยวกับพญานาค ที่เกี่ยวพันธ์กับชาวจังหวัดหนองคาย ตั้งแต่อำเภอสังคม จนถึงอำเภอบึงกาฬ โดยเฉพาะประชาชนที่อาศัยอยู่ตามริมลำแม่น้ำโขงจะมีเรื่องเล่าขานกันมาตลอด

อิทธิฤทธิ์และหน้าที่ของพญานาคมีอย่างไร
๑.สามารถแปลงร่างเป็นอะไรก็ได้เพียงแต่คิด สร้างความรักและความสัมพันธ์กับสัตว์อื่นได้ พญานาคเป็นสัตว์มหัศจรรย์ ที่มีคุณสมบัติพิเศษ คือ สามารถแปลงกายได้ พญานาค มีอิทธิฤทธิ์ และมีชีวิตใกล้กับคน พญานาค สามารถแปลงเป็นคนได้ เช่นคราวที่แปลงเป็นคนมาขอบวชกับพระพุทธเจ้า ในหนังสือไตรภูมิพระร่วง กล่าวถึงนาคที่ชื่อ ถลชะ ที่แปลว่า เกิดบนบก จะเนรมิตกายได้เฉพาะบนบก และนาคชื่อ ชลซะ แปลว่า เกิดจากน้ำ จะเนรมิตกายได้เฉพาะในน้ำเท่านั้น ๒.สามารถขึ้นลงได้ ๓ โลก คือโลกบาดาล โลกมนุษย์ โลกสวรรค์
๓.พิษพญานาคสามารถฆ่าสัตว์อื่นตายอย่างช้า ๆ และรวดเร็วได้ พญานาค มีพิษร้ายสามารถทำอันตรายผู้อื่นได้ด้วยพิษ ถึง ๖๔ ชนิด ซึ่งตามตำนานกล่าวว่า สัตว์จำพวกงู แมงป่อง ตะขาบ คางคก มด ฯลฯ มีพิษได้ ซึ่งก็ด้วยเหตุที่ นาคคายพิษทิ้งไว้ แล้วพวกงูไปเลีย พวกที่มาถึงก่อนก็เอาไปมาก พวกมาทีหลัง เช่น แมงป่อง กับ มด ได้พิษน้อย แค่เอาหางไปป้ายเศษพิษ จำพวกนี้จึงมีพิษน้อย และพญานาคต้องคายพิษทุก ๑๕ วัน
๔.ดลบันดาลให้ฝนตก ทำหน้าที่รักษาแม่น้ำ ห้วยหนองคลองบึง
๕.ปกปักรักษาพุทธศาสนาโบราณสถานโบราณวัตถุ
๖.บอกเหตุการณ์ล่วงหน้าแก่คนที่สมควรบอก ให้โชคลาภแก่บุคคลที่สมควรให้ พญานาคถึงแม้จะเนรมิตกายเป็นอะไรได้ แต่ในสภาวะ ๕ อย่างนี้ จะต้องปรากฏเป็นงูใหญ่เช่นเดิม คือ ขณะเกิด ขณะลอกคราบ ขณะสมสู่กันระหว่างนาคกับนาค ขณะนอนหลับโดยไม่มีสติ และที่สำคัญ ตอนตาย ก็กลับเป็นงูใหญ่เหมือนเดิม


ความเชื่อของชาวพุทธเกี่ยวกับพญานาค
เชื่อเรื่องพญานาคไม่เฉพาะพุทธศาสนิกชนในประเทศไทยเท่านั้น ในประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เช่น ลาว เวียดนาม กัมพูชา พม่า ต่างเชื่อในอิทธิฤทธิ์วิธีของพญานาค สังเกตได้จากรูปพญานาคที่บันได โบสถ์ วิหารปราสาท ต่าง ๆ เช่น โบสถ์หลวงพ่อองค์ตื้อ อำเภอท่าบ่อ จังหวัดหนองคาย หอพระแก้วเวียงจันทน์ ประเทศลาว นครวัดนครทม ประเทศกัมพูชา เป็นต้น บางประวัติมีเรื่องเล่าขาน และตำนานเกี่ยวกับพระพุทธเจ้า หรืออักครสาวกที่เสด็จมาจากประเทศอินเดีย มาเยือนพื้นที่ต่าง ๆ ในพื้นที่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และได้ประทับรอยพระบาทเอาไว้ เพื่อเป็นที่ระลึกให้พุทธศาสนิกชนในถิ่นนั้นได้กราบไหว้ ต่อมาก็ได้ช่วยกันสร้างมณฑปครอบรอยพระบาทเอาไว้ สร้างกำแพงล้อมรอบสร้างซุ้มประตู สร้างบันไดพญานาคเพื่อเป็นสัญลักษณ์ร่มเย็น เสมือนหนึ่งเป็นการเชื่อมโยงชุมชนของพระพุทธศาสนาให้เป็นหนึ่งเดียวในภูมิภาคแถบนี้ โดยมี ความเชื่อว่า พญานาคคือเทพเจ้าที่มีอิทธิฤทธิ์ ทำหน้าที่ปกปักรักษาศาสนาพุทธ รักษาศาสนสถานต่างๆ ที่เกี่ยวกับศาสนาพุทธ แม่น้ำ ลำคลอง ห้วยหนองคลองบึงต่างๆ ดลบันดาลให้ฝนตกต้องตามฤดูกาล รักษาโบราณสมบัติต่างๆ เช่นแก้วแหวนเงินทอง ของแผ่นดินที่อยู่บนบกและในน้ำ และนอกนี้ยังเป็นเครื่องวัดเรื่องฝน เช่นนาคให้น้ำ พญานาค เป็นสัญลักษณ์แห่งธาตุน้ำ "นาคให้น้ำ" เป็นเกณฑ์ที่ชาวบ้านรู้และเข้าใจดี ที่ใช้วัดในแต่ละปี จำนวนนาคให้น้ำมีไม่เกิน ๗ ตัว ถ้าปีไหนอุดมสมบูรณ์มีน้ำมากเรียกว่า "นาคให้น้ำ ๑ ตัว" แต่หากปีไหนแห้งแล้งเรียกว่าปีนั้น "มีนาคให้น้ำ ๗ ตัว" จะวัดกลับกันกับจำนวนนาค ก็คือที่น้ำหายไป เกิดความแห้งแล้งนั้นก็เพราะ พญานาคกลืนน้ำไว้ในท้อง



พญานาคกับพุทธศาสนา
พญานาคเกี่ยวข้องกับพุทธศาสนามีหลายเหตุการณ์แต่ที่ชาวพุทธนิยมนำมาอ้างอิงมากที่สุดมี ๓ เหตุการณ์
๑.มุจลินทร์นาคราช เรื่องมีอยู่ว่า หลังจากที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ได้ ๕๒ วัน พระองค์ได้ประทับบำเพ็ญสมาบัติเสวยวิมุติสุขอยู่ใต้ต้นจิกเป็นเวลา ๗ วัน ในระหว่างที่พระองค์เสวยวิมุติสุขอยู่นั้น ท้องฟ้าบังเกิดฝนตกพรำๆทั้ง ๗ วันทำให้พญานาคชื่อว่า มุจลินทร์นาคราชเฝ้ามองพระองค์อยู่กลัวว่าพระองค์ท่านจะได้รับความลำบากจึงได้ออกมาจากภพภูมิของตนเอง ตรงมาที่ประทับครั้นมาถึงก็ทำขนดล้อมพระวรกาย ๗ ชั้น แล้วแผ่พังพานใหญ่ ปกคลุมเบื้องบนพระเศียรของพระองค์เพื่อให้พ้นจากละอองฝนและลมหนาว ที่มาต้องพระวรกาย เมื่อ ฝนขาดเม็ด พญามุจลินทร์นาคราช จึงคลายขนดออกแล้วแปลงร่างเป็นมาพนหนุ่ม พนมมือถวายสักการะต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยเหตุนี้จึงเป็นต้นกำเนิดหรือที่มาของพระพุทธรูปปรางค์นาคปรก ซึ่งเป็นพระบูชาคนที่เกิดวันเสาร์
๒.นาคศรัทธาคำสอน
ได้มีพญานาคตนหนึ่งหลังจากที่ได้ฟังพระเทศนา ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วเกิดความเลื่อมใสเป็นอย่างมาก จึงได้แปลงร่างเป็นชายหนุ่มมาขอบวชกับพระอุปัชฌาย์ และก็ได้บวชตามความประสงค์ วันหนึ่งภิกษุ นาครูปนั้นนอนหลับสนิทอยู่บนกุฏิหลังจากนั้นมนต์ได้เสื่อมกลายเป็นงูใหญ่ จนพระภิกษุรูปอื่นไปเห็นเข้า ต่อมาพระพุทธเจ้าทรงทราบจึงให้พระภิกษุนาคนั้นสึกออกไป เพราะเป็นสัตว์เดรัจฉาน นาคตนนั้นผิดหวังมาก จึงขอถวายคำว่า นาค ไว้ใช้เรียกผู้ที่เข้ามาขอบวชในพระพุทธศาสนา เพื่อเป็นอนุสรณ์ในความศรัทธาของตนต่อจากนั้นมาพระพุทธเจ้าจึงทรงบัญญัติไม่ให้สัตว์เดรัจฉาน ไม่ว่าจะเป็นนาค ครุฑ หรือสัตว์อื่น ๆ บวชอีกเป็นอันขาด เพราะก่อนที่อุปัชฌาย์จะอุปสมบทให้แก่ผู้ขอบวชจะต้องถาม อัตรายิกธรรม หรือข้อขัดข้องที่จะทำให้ผู้นั้นบวชเป็นพระภิกษุไม่ได้ รวม ๘ ข้อเสียก่อน ในจำนวน ๘ ข้อนั้น มีข้อหนึ่งถามว่า
ท่านเป็นมนุษย์หรือเปล่า
๓.เนื่องจากบทสวด พระหุง
บทสวดปราบมาร มีตำนานว่า ครั้งหนึ่ง เมื่อพระพุทธเจ้าได้เสด็จพร้อมด้วยพระอรหันต์จำนวน ๕๐๐ รูป เพื่อเสด็จไปยังเทวโลก ได้ผ่านวิมานของเหล่าพญานาค ที่กำลังมีการรื่นเริงกันอย่างสนุกสนาน ที่มี นันโทปะนันทะนาคราช เป็นประธานใหญ่ เมื่อเห็นคณะสงฆ์ผ่านไปเหนือวิมานจึงมีความโกรธมาก จึงได้ตรงไปยังเขาพระสุเมรุแปลงตนเป็นนาคขนาดใหญ่ พันโอบเขาพระสุเมรุด้วยขดถึง ๗ รอบ แล้วแผ่พังพานบังชั้นดาวดึงส์เอาไว้ เพื่อไม่ให้พระพุทธเจ้าและพระสงฆ์ผ่านไปได้ และเมื่อเป็นดังนั้นได้มีพระอรหันต์หลายรูปอาสาปราบ แต่พระพุทธเจ้าไม่ทรงอนุญาต จน พระโมคคัลลานะ ผู้ซึ่งตามเสด็จไปด้วยอาสา พระองค์จึงทรงอนุญาต ดังนั้น พระโมคคัลลานะ จึงได้แปลงกายเป็นนาคราชขนาดใหญ่กว่าถึงเท่าตัว พันเอานาคนันโทปะนันทะนาคราช เอาไว้ด้วยขดถึง ๑๔ รอบ นาคนันโทฯทนไม่ไหวบันดาลให้ไฟลุกขึ้น พระโมคคัลลานะ ก็ให้เกิดไฟขึ้นเช่นกัน นันโทปะนันทะนาคราชสู่ไม่ไหว จึงถามว่า ท่านผู้เจริญท่านเป็นใครพระโมคคัลลานะ ตอบว่าเราคือโมคคัลลานะ ศิษย์ของพระตถาคต นันโทปะนันทะนาคราช จึงบอกว่า ท่านจงคืนร่างกลับเป็นพระเหมือนเดิมเถิด แต่ด้วยนิสัยของผู้รู้ว่า นันโทปะนันทะนาคราช เป็นนาคที่ไม่ยอมแพ้ใครง่าย ๆ จึงได้แปลงกายให้เล็กนิดเดียว สามารถเข้ารูหู รูจมูกได้ แล้วเข้าไปตามรูต่าง ๆ จน นันโทปะนันทะนาคราช ทนไม่ไหว และนันโทปะนันทะนาคราช สู้ไม่ได้จึงหนีไป พระโมคคัลลานะ จึงแปลงร่างเป็นพญาครุฑไล่ติดตามไป เมื่อหนีไม่พ้นจึงแปลงร่างเป็นมาณพหนุ่ม ยอมแพ้พระโมคคัลลานะและที่สุดจึงยอมให้พระพุทธเจ้าพร้อมพระอรหันต์ผ่านไปแต่โดยดี



บั้งไฟพญานาคคืออะไร เกี่ยวกับบั้งไฟพญานาคเท่าที่ปรากฏมีอยู่ ๔ ทฤษฎี ที่สื่อต่าง ๆ กล่าวอ้างอิงเกี่ยวกับเรื่องนี้

๑.ทฤษฎีมนัส
ของนายแพทย์มนัส กนกศิลป์ เชื่อว่า บั้งไฟพญานาคเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติ เกิดจากปฏิกิริยาทางเคมีของก๊าซมีเทนระเบิด จากหลุมอินทรียวัตถุขนาดเล็ก ทับถมกันอยู่ในแอ่งแม่น้ำโขง เสนอภาพการทดลอง ณ ริมฝั่งแม่น้ำโขง จากการตรวจสอบพบว่าเป็นก๊าซมีเทนติดไฟได้
๒.ทฤษฎีมนตรี
ของอาจารย์มนตรี บุญเสนอ นำเสนอข้อมูลทางธรณีวิทยา ศึกษาสภาพดินใต้แม่น้ำโขงสายหลักพบว่า เป็นหินดินดานหรือหินโคลน โอกาสที่จะเกิดก๊าซมีเทนจึงเป็นไปได้น้อยมาก
๓.ทฤษฎี ปืนส่องแสง ณ บ้านโดน
ของสถานีโทรทัศน์ ไอทีวี นำเสนอภาพของทหารลาวบ้านโดนที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำโขงฝั่งลาว ยิงปืนพลุส่องแสงขึ้นบนท้องฟ้า ในขณะที่มีเสียงโห่ร้องตอบรับขึ้นมาจากนักท่องเที่ยว ที่เฝ้าดูจากฝั่งไทย เมื่อทุกคนได้ดูการนำเสนอภาพจากสถานีในครั้งนั้น ๖๐ เปอร์เซ็นเชื่อว่า บั้งไฟพญานาคเกิดจากผีมือมนุษย์ทำขึ้น
๔.ทฤษฎีกระทรวงวิทย์
ของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี่โดยมี ทีมเก็บข้อมูลประมาณ ๒๐ คน ในจุดที่สำคัญ ๙ จุด
๑.บ้านน้ำเปกิ่งอำเภอรัตวาปี
๒.ปากห้วยหลวง อำเภอโพนพิสัย
๓.หนองสรวงอำเภอโพนพิสัย
๔.ปากห้วยงึมน้อย อำเภอโพนพิสัย
๕.ปากน้ำปากคาด อำเภอปากคาด
๖.ปากห้วยวัดอาฮง อำเภอบึงกาฬ
๗.ปากห้วยวังฮู อำเภอเมืองหนองคาย
๘.ห้วยเปลวเงือก อำเภอโพนพิสัย
๙.จุดอ้างอิงเหนือบ้านท่าม่วงกิ่งอำเภอรัตนวาปี
สรุปว่า ได้พบก๊าซมีเทนที่มีน้ำหนักเบา ติดไฟได้ง่ายเมื่อทำปฏิกิริยากับก๊าซออกซิเจน แต่ไม่สามารถติดไฟได้เองต้องมีพลังอื่นมาช่วย และยังไม่สามารถ อธิบายของกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ที่ทำให้เกิดบั้งไฟพญานาคได้ และไม่สามารถบอกได้ว่าทำไมบั้งไฟพญานาคถึงเกิดขึ้นมากในวันออกพรรษา
ลักษณะการขึ้นของบั้งไฟพญานาค
๑.เป็นลูกไฟสีแดงอมชมพูมีขนาดเท่าไข่ไก่หรือเล็กกว่าพุ่งขึ้นมาจากใต้แม่น้ำโขง แล้วหายเข้าไปในบรรยากาศเหนือลำน้ำโขง โดยไม่โค้งกลับลงมาเหมือนกับหายเข้าไปอีกโลกหนึ่ง
๒.ความเร็วต้นจะไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่า จะเห็นชัดเจนเมื่อลูกไฟพุ่งขึ้นมาเหนือระดับน้ำโขงประมาณ ๒๐-๓๐ เมตร
๓.ลูกไฟจะไม่มีเสียง ไม่มีกลิ่น ไม่มีควัน ไม่มีเขม่า ลูกไฟขนาดเท่าเดิมในช่วงขณะที่อยู่ในอากาศแล้วหายวับไปเฉย ๆ
๔.การไต่ระดับความสูงจะใช้เวลาประมาณ ๕-๓๐ วินาทีต่อ ๕๐-๑๕๐ เมตร
ทำไมบั้งไฟพญานาคเกิดเฉพาะที่หนองคาย
ในแนววิทยาศาสตร์มีคำตอบว่า แม่น้ำโขงมีต้นกำเนิดอยู่ในเขตที่ราบสูงธิเบต ไหลผ่านประเทศจีน พม่า ลาว ไทย กัมพูชา เวียดนาม มีความยาวถึง ๔,๘๙๐ กิโลเมตร เป็นไปได้ที่จะพัดเอามวลสารต่างๆ ติดมาด้วย เช่น หิน ดิน แร่ธาตุ และในช่วงที่แม่น้ำโขงไหลผ่านพรมแดนไทย-ลาว ในส่วนของจังหวัดหนองคาย ตั้งแต่อำเภอสังคม ถึงอำเภอบึงกาฬ มีความยาวประมาณ ๒๒๐ กิโลเมตร น่าจะเกิดสิ่งเหล่านี้
๑.ด้วยแม่น้ำโขงไหลมาเป็นระยะยาวไกล พอมาถึงช่วงโค้งจังหวัดหนองคาย เกิดการทับถมตะกอนแร่ธาตุต่าง ๆ พอหมักได้ที่ก็เกิดเป็นก๊าซดันพุ่ง ออกไปติดไฟในอากาศเหนือผิวแม่น้ำโขง
๒.เกิดปฏิกิริยาสัมพันธ์ระหว่างดวงจันทร์กับโลก โดยอ้างความจริง จากการเกิดน้ำขึ้นน้ำลงบนโลก อิทธิพลของดวงจันทร์ ต่อปรากฏการณ์บนโลก อย่างบั้งไฟพญานาค ก็น่าจะมีส่วนเป็นไปได้ เพราะวันออกพรรษาเป็นวันเพ็ญดวงจันทร์เต็มดวง

 ในแนวไสยศาสตร์ มีคำตอบว่า ประเทศไทยและประเทศลาว ส่วนใหญ่ นับถือศาสนาพุทธ โดยเฉพาะประเทศลาวเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ ดังนั้นจึงมีพุทธโบราณสถานและพุทธโบราณวัตถุตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำโขงทั้งทางประเทศฝั่งไทยและฝั่งประเทศลาว เช่น พระพุทธรูป พระธาตุ รอยรพระบาท ล้วนแต่เป็นสิ่งที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวไทยและชาวลาวได้กราบไหว้บูชา เพราะเชื่อว่าพุทธโบราณเหล่านี้ มีพญานาคปกป้องคุ้มครองอยู่ โดยเฉพาะนครเวียงจันทน์ซึ่งมีตำนานเล่าสืบทอดกันมาว่า เป็นเมืองพญานาคเป็นผู้สร้างหรือเนรมิตขึ้นมา ให้เจ้านครเวียงจันทน์ขึ้นครองและไม่มีใครมารุรานได้ เพราะมีพญานาคช่วยปกป้องคุ้มครองดังเช่นเหตุการณ์ที่ข้าศึกยกทัพมาล้อมนครเวียงจันทน์ด้วยกำลังทหารอย่างมากมาย เหลือที่ทหารเวียงจันทน์จะรบสู้ได้ พญานาคที่ อาศัยอยู่ใต้ฐานพระธาตุหลวง ก็จะแปลงกายเป็นชายชาติทหารกรูกันออกมาช่วยทหารเวียงจันทน์รบกับข้าศึกอย่างห้าวหาญ ทำให้ข้าศึกเสียกำลังพลไปอย่างมากมายจนแตกพ่ายไปในที่สุด ต่อมาเจ้านครเวียงจันทน์ถูกล่อลวงจากศัตรู ให้ปิดรูพญานาคที่อยู่ใต้องค์พระธาตุหลวงนั้นเสีย ส่งผลให้พญานาคขึ้นมาช่วยเหลือไม่ได้เมื่อมีศัตรูมารุกราน จึงทำให้นครเวียงจันทร์ต้องผจญกับศึกสงครามและภัยพิบัติตลอดมา ดั่งเช่นสงครามไทยกับลาว ในการปราบกบฏเจ้าอนุวงศ์แห่งเวียงจันทน์ ในรัชกาล ที่ ๓ การสงครามครั้งนั้นนอกจากปรากบฏเจ้าอนุวงศ์แล้ว เหมือนกับสงครามแย่งพระพุทธรูปกันด้วย เมื่อไทยรบชนะลาวก็เที่ยวค้นหาพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ มารวมไว้ที่เจดีย์ปราบเวียงจันทน์ที่ค่ายพันพร้าว แต่พอทัพลาวบุกยึดคืนได้ก็รื้อเจดีย์เอารพระพุทธรูปเหล่านั้นคืนสู่นครเวียงจันทน์ พญานาคมีความจงรักภักดีและศรัทธาต่อพุทธศาสนาเป็นอย่างมาก จึงได้มารวมตัวกันที่แม่น้ำโขงเพราะแม่น้ำโขงและนครเวียงจันทน์ หรือเมืองศรีสัตตนาคนหุต ซึงเป็นสถานที่บรรพบุรุษได้สร้างขึ้นมาและนอกจากนั้นแม่น้ำโขงยังเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตคนทั้งสองฝั่งไทย-ลาว ที่นับถือพุทธศาสนา โดยมีพระพุทธรูปที่ศักดิ์สิทธิ์คือ พระสุกได้ประดิษฐานอยู่ใต้แม่น้ำโขงบริเวณเวินพระสุก(เหนือบ้านน้ำเป) ซึ่งเป็นหน้าที่ส่วนหนึ่งที่เหล่าพญานาค จะต้องมาปกปักรักษาและบูชาพระพุทธรูปองค์นี้ โดยยึดเอาเป็นองค์ประธาน ในการบำเพ็ญตบะในช่วงเข้าพรรษาตลอดเวลา ๓ เดือน โดยงดเว้นการเบียดเบียน ชีวิตสัตว์อื่นมุ่งบำเพ็ญสมาธิภาวนา เมื่อเข้าถึงฌานก็ได้ตบะอำนาจนำมาแสดงเป็นบั้งไฟพุ่งทะยานออกมาจากใต้แม่น้ำโขง เพื่อเป็นพุทธบูชา ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จลงมาจากเทวโลก




คำปรารภเกี่ยวกับบั้งไฟพญานาค
เป็นข้อสงสัยที่เกี่ยวกับบั้งไฟพญานาคที่ตั้งคำถามอยู่ภายในใจของนักท่องเที่ยว อยากให้ผู้รู้มาตอบชี้แจงแถลงไขให้หายข้องใจ
๑.การเกิดบั้งไฟพญานาค เป็นปรากฏการที่เที่ยงตรงแน่นอนทุกปี ในวันออกพรรษาของประเทศไทยและประเทศลาว ดุจว่าธรรมชาตินั้น มีการนัดวันเอาไว้
๒.ทฤษฎีการเกิดก๊าซ ที่ว่าเกิดจากซากพืชซากสัตว์ที่ตายทับถมอยู่ในแอ่งแม่น้ำโขงจนเกิดเป็นก๊าซจริง แต่คุณสมบัติทางกายภาพของก๊าซทั่วไปที่เราเห็น เช่นก๊าซหุงต้มมันจะกระจายไปทั่วไม่เกาะกันเป็นกลม แล้วลอยขึ้นบนอากาศ เหมือนบั้งไฟพญานาค
๓.แม่น้ำโขงเป็นแม่น้ำที่ไหลเชี่ยวกรากในเทศกาลออกพรรษากระแสน้ำจะเย็นและไหลแรงมาก ไม่ใช่น้ำอยู่นิ่ง ๆ ที่จะเกิดก๊าซขึ้นมาติดไฟได้ง่าย ๆ
๔.การจุดติดไฟจากใต้แม่น้ำโขง อาจมีผู้สามารถประดิษฐ์คิดค้นทำได้ แต่การทำเช่นนั้นทำเพื่ออะไร เมื่อกระบวนการจุดไฟให้ลุกขึ้นจากใต้น้ำ จนกระทั่งสามารถพุ่งออกมาเป็นรูปร่างกลมๆ แบบบั้งไฟพญานคต้องใช้ความร้อนอย่างมหาศาลถึงขนาด ๑,๐๐๐ องศาเซลเซียส จึงจะสามารถลุกเป็นลูกไฟ พุ่งขึ้นเหนือแม่น้ำโขงเฉกเช่นบั้งไฟพญานาคได้
๕.ถ้าหากมีมนุษย์ถือปืนอาก้า มุดน้ำลงไปถึงก้นพื้นดินใต้แม่น้ำโขงแล้วยิงขึ้นมายิ่งเป็นไปไม่ได้ เพราะก็ต้องใช้คนเป็นจำนวนมากและใช้ลูกปืนหลายร้อยลูก ปืนหลายร้อยกระบอก ต้องกระจัดกระจายกันมุดน้ำลงไปยิงในแม่น้ำโขง ตั้งแต่อำเภอสังคมถึงอำเภอบึงกาฬระยะความยาวถึง ๒๒๐ กิโลเมตร
โบราณสถานโบราณวัตถุสองฝั่งโขง
ดินแดนสองฝั่งแม่น้ำโขงและที่ราบลุ่มตามลำน้ำสายต่างๆ ที่ไหลลงสู่ แม่น้ำโขง ต่างมีร่องรอยของความเจริญรุ่งเรืองในอดีตเห็นได้จาก ซากปรักหักพัง ของโบราณสถานและโบราณวัตถุ ที่ทับถมกันอยู่มากมาย เหมือนหนึ่งกำลังรอการปฏิสังขรณ์จากพุทธศาสนิกชน ชาวพุทธในแถบนี้นิยมปฏิสังขรณ์ก่อนอื่นใดคือ พระพุทธรูป และโบสถ์ โดยเชื่อว่าศาสนโบราณสถานเหล่านี้มีพญานาคเป็นผู้ปกปักรักษาอยู่ ผู้ที่เลื่อมใสศรัทธาบูรณะและกราบไหว้ จะได้รับอิทธิฤทธิ์วิธีจากพญานาค ให้รอดพ้น จากภัยพิบัติต่าง ๆ เช่น มาเข้าฝันบอกเหตุการณ์ที่จะเกิดล่วงหน้า หรือนำโชคลาภมาให้
สองฝั่งแม่น้ำโขงมีศาสนโบราณ ที่ศักดิ์สิทธิ์มากมาย เช่น พระพุทธรูป เจดีย์ รอยพระบาท หลายองค์แต่จะขอยกมาเพียงบางส่วน ที่ผู้เขียนได้เห็นผู้คนไปสักการบูชามิได้ขาด
๑.หลวงพ่อพระใส วัดโพธิ์ชัย อำเภอเมือง จังหวัดหนองคาย
๒.หลวงพ่อองค์ตื้อ วัดศรีชมพู องค์ตื้อ อำเภอท่าบ่อ จังหวัดหนองคาย
๓.หลวงพ่อพระเสี่ยง วัดมณีโคตร อำเภอโพนพิสัย จังหวัดหนองคาย
๔.หลวงพ่อพระใหญ่วัดโพธาราม อำเภอบึงกาฬ จังหวัดหนองคาย
๕.พระธาตุหลวง กำแพงนครเวียงจันทน์ ประเทศลาว
๖.พระบาทโพนฉัน แขวงบริคำไช ประเทศลาว


ข้อมูลจาก เว็บไซต์ สำนักงานเทศบาลตำบลปากคาด





0 ความคิดเห็น:

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น

ความเห็นล่าสุด

Your left Slidebar content. -->